“เงินบาทแข็ง” กับ อสังหาริมทรัพย์
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังดีวันดีคืน การเมืองที่ทะเลาะกันก็ดูว่าจะชะลอลง คนไทยชั้นกลางก็กำลังเติบโตขึ้น ทั้งคนชั้นกลางในเมืองและชนบท รัฐบาลก็ดูว่าจะเข้าใจปัญหาปากท้องประชาชนดีว่า ถ้าจะอยู่ดีกินดี มีรายได้ดี ต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภาครัฐที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างสาธารณูปโภค ทั้งที่เป็นพื้นฐาน เช่น ถนน เขื่อนชลประทาน และยกระดับสูงขึ้น เช่น ขนส่งมวลชล พลังงาน

ส่วนภาคเอกชนก็มั่นใจขึ้น มีการลงทุน การค้าพาณิชย์ ธุรกิจที่เป็นการบริการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมุ่งสู่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น การสื่อสาร และพลังงาน ถ้าประเทศมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แน่นอนเงินจะต้องแข็งขึ้น เงินแข็งนั้นดีกว่าเงินอ่อนแน่ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เงิน 1 บาทเท่ากับ 1 ปอนด์ ประเทศไทยร่ำรวย พระองค์ท่านสามารถเอาเงินท้องพระคลังมาสร้างทั้งระบบสาธารณูปโภคและสร้างคุณภาพของคนไทย เช่น ส่งข้าราชบริพารไปศึกษาต่างประเทศ ยกระดับคนของประเทศไทย ให้ทัดเทียมยุโรป ช่วงนั้นเราส่งออกมากเป็นสินค้าเกษตรทั้งๆ ที่เงินบาทแข็งเหลือเกิน
เงินแข็งดีแก่ส่วนรวมอย่างไร แน่นอน เรานำเข้าน้ำมันต้องใช้เงินบาทแลกเงิน US แล้วไปจ่ายค่าน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันเราจะซื้อน้ำมันถูกลงเพราะเงินบาทแข็ง เรานำเข้าเครื่องจักรก็ราคาถูกลง เราจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศก็ราคา ถูกลง แปลว่าคนไทยส่วนรวมรวยขึ้น ถ้าเราเป็นหนี้ต่างประเทศช่วงนี้แหละรีบคืนหนี้ก็จะกำไรทันที จากการกู้มาที่ US ละ 40 บาท เหลือ 30 บาท รวยขึ้นหรือลดหนี้ได้ทันที 25% นักลงทุนทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาฯ มีหลายคนที่ใช้เงินต่างประเทศ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ Refinance ดีที่สุด และอาจจะ Refinance ด้วยเงินสกุลอื่นได้ด้วย เช่น เอามากู้เงินยูโรเสียก็ดี ถ้าใครจำได้สมัยปี 2540 ที่เศรษฐกิจการเงินประเทศตกต่ำเหลือขนาด เรากู้ US มาลงทุนโครงการอสังหาฯ ประมาณ US ละ 28-30 บาท โดยถ้าไม่กู้ธนาคารไทยพวกเรากันเองก็บังคับให้กู้ US มาผสม เพราะดอกเบี้ยต่ำ 4% มาผสมกับเงินบาทสมัยนั้น 10% เฉลี่ยทั้งโครงการก็ 7%
พอเศรษฐกิจการเงินประเทศตกเหว เงิน US พุ่งขึ้นไป 50 กว่าบาท พวกเราธนาคารไทยก็บีบให้ผู้ประกอบการใช้หนี้ขณะที่กู้ จาก US ละ 30 บาท เป็น 50 บาท ล้มละลายกันทั่วหน้าเพราะหนี้เพิ่ม 30% ในระยะ 1-2 เดือน และนี่คือประสบการณ์เชิงลบของนักลงทุนโดยเฉพาะในภาคอสังหาฯ ที่ต้องใช้เงินเยอะในระยะสั้นๆ ไม่เหมือนพวกอุตสาหกรรมที่เขากู้ US มาใช้ในระยะยาวกว่า ซึ่งกว่าจะล้มละลายก็นานกว่าพวกอสังหาฯ บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ในขณะนั้นล้มละลายกันระเนระนาด บริษัทใหญ่ๆ ที่เอาตัวรอดได้และยังเหลือขณะนี้ ก็ต้องขายบริษัทเอาเงินทุนต่างชาติมาใช้หนี้ บางบริษัทเป็นหนี้ร่วม 10,000 ล้าน เวลาผ่านไป 12-13 ปีก็ยังใช้หนี้ไม่หมด (ดูบริษัทที่รอดตัวยังอยู่ในตลาดหุ้นขณะนี้ก็มี เช่น แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, ศุภาลัย เป็นต้น)
เงินบาทแข็งมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน อยู่ตรงการส่งออกอย่างเดียว ที่พวกพ่อค้า Trader ซื้อมาขายไปบ่นว่าขายสินค้าส่งออกยากขึ้น แพงขึ้น สู้เขาไม่ได้ สินค้าส่งออกเดี๋ยวนี้เปลี่ยนโครงสร้าง จากสินค้าเกษตรพื้นฐาน เช่น ข้าว มันสำปะหลัง จะมีอัตราส่วนน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบสินค้ายุคใหม่ เช่น อิเลคทรอนิคส์ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารสำเร็จรูปที่มากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value Added) มากกว่าการจะส่งออกข้าวคุณภาพต่ำที่เป็นสินค้าแข่งกับเวียดนาม หรือมันสำปะหลังแข่งกับประเทศเกษตรที่มีการพัฒนาต่ำกว่าเรา ประเทศไทยเดี๋ยวนี้ UN ไม่ยอมให้ใช้คำว่าประเทศด้อยพัฒนา ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีความก้าวหน้าดีกว่าหลายประเทศของโลก ในอินโดจีนเราก็น้องๆ เกาหลี ไต้หวัน ดีกว่า ลาว เขมร เวียดนาม พม่า แม้กระทั่งมาเลเซียที่มีประชากรแค่ 30 ล้านคน และมีน้ำมันมากมาย (เราไม่มีน้ำมันถึงมีก็ขุดไม่ได้ มีปัญหาสิ่งแวดล้อม)
กลุ่มพ่อค้านักส่งออกต้องเปลี่ยน Mindset กันเสียที ต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพส่งออก มิใช่ส่งสินค้าพื้นฐานถูกๆ ดูอย่างแตงโมของญี่ปุ่นที่เป็นแตงโม Premium ลูกสี่เหลี่ยมราคาแพงมาก หรือเนื้อโกเบก็เป็นจัดเป็น Premium เหมือนกันข้าวของเราก็น่าจะเป็น Premium หรือไม่ก็แปรรูปเป็นอาหารสำเร็จรูป ยังไงก็ขอฝากพ่อค้าส่งออกของไทยด้วยเพราะสินค้ามีคุณภาพของไทยที่ตลาดโลกต้องการมีเยอะมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น