ประเภทของฟิล์มในการถ่ายภาพทางทางอากาศ
รูปถ่าย (photograph) เกิดมาจากการทำปฏิกิริยาระหว่าง แสง ที่ตกกระทบบนฟิล์ม กับตัว สารไวแสง
ที่เคลือบอยู่บนฟิล์มนั้น ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้น โดยปัจจุบันอาจแยกฟิล์มออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ฟิล์มขาวดำ (black-and-white film หรือ B/W film)
2. ฟิล์มสีธรรมชาติ (natural color film) และ
3. ฟิล์มอินฟราเรดสี (color infrared film)
ทั้งนี้ ฟิล์มขาวดำ อาจแยกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ
1. ฟิล์มแพนโครมาติก (panchromatic film) ซึ่งมีช่วงไวแสงอยู่ระหว่าง 0.4 ถึง 0.7 ไมโครเมตร
(ช่วงแสงขาว) และ
2. ฟิล์มอินฟราเรด (infrared-sensitive film) ซึ่งมีช่วงไวแสงอยู่ระหว่าง 0.4 ถึง 0.9 ไมโครเมตร
(ช่วงแสงขาว และ NIR)
ระหว่าง ฟิล์มขาวดำ ทั้งสองแบบ ฟิล์มแพนโครมาติกจะได้รับความนิยมใช้ มากกว่า ฟิล์มอินฟราเรด
** ช่วงการไวต่อแสงของพวก ฟิล์มขาวดำ คือฟิล์มแพนโครมาติกและฟิล์มอินฟราเรด
** ช่วงไวแสงปกติของ ฟิล์มสีธรรมชาติ และ ฟิล์มอินฟราเรดสี
สำหรับ สารไวแสง ที่เคลือบด้านบนของพวกฟิล์มแพนโครมาติกไว้ มักเป็นองค์ประกอบของ ธาตุเงิน
พวก silver helide แขวนลอยอยู่ในสารโปร่งใสพวก gelatin ซึ่งมีความหนาประมาณ 5 ไมโครเมตร
ฟิล์มแพนโครมาติก มีข้อดีคือ มันสร้างภาพตามระดับความเข้ม แบบขาว-ดำ (gray scale) ของรังสี
ในช่วงแสงขาวได้ดี ทำให้ภาพที่ได้มี ความสมจริง มากขึ้น เช่น เมฆมีสีขาว หรือ ผิวน้ำมีสีดำ เป็นต้น
ส่วน ฟิล์มอินฟราเรด จะถ่ายภาพของพวก พืชพรรณ ออกมาได้ดี เนื่องจากพืชพรรณที่สมบูรณ์จะมี
ค่าการสะท้อนแสงในช่วง NIR สูง ทำให้เห็นเป็นส่วนที่สว่างบนภาพ (บนภาพแบบขาวดำ)
สำหรับ ฟิล์มสีธรรมชาติ จะไม่มีสารพวก silver halide ผสมอยู่เหมือนฟิล์มขาว-ดำ แต่มันจะบันทึก
ข้อมูลในช่วงสี แดง เขียว และ น้ำเงิน แยกเป็นชั้นอิสระต่อกันบนแผ่นฟิล์ม โดยชั้นไวแสงของแสง
สีน้ำเงิน จะอยู่ด้านบนสุด ตามมาด้วย แสงสีเขียว และ สีแดง ตามลำดับ
ระหว่างชั้นของ สีน้ำเงินและสีเขียว จะมี ตัวกรอง แสงสีน้ำเงินออกไปจนหมด ทำให้เหลือเฉพาะ
พวกแสงสีเขียวและสีแดงเท่านั้น ที่ผ่านลงไปสู่ชั้นล่างได้
** ภาพตัดขวางของฟิล์มขาวดำพวก ฟิล์มแพนโครมาติก (panchromatic film)
** ภาพตัดขวางของ ฟิล์มสีธรรมชาติ (natural color film) ซึ่งจะแบ่งชั้นของการรับแสงเป็น 3 ชั้น ตามค่าสี
สำหรับ ฟิล์มอินฟราเรดสี จะบันทึกข้อมูลเฉพาะในช่วงคลื่นของแสง สีเขียว แดง และช่วง NIR เท่านั้น โดยแสง
ที่มีความยาวคลื่น ต่ำกว่า 0.5 ไมโครเมตร (แสงสีน้ำเงิน) จะถูกกรองออกไปจนหมด
ภาพที่ได้จากฟิล์มอินฟราเรดสี จะเรียกว่าเป็น ภาพสีผสมเท็จ (false-color photograph) เนื่องจากว่าสีของวัตถุ
ที่ปรากฏ มักจะถูก แต่ง ให้ต่างไปจาก สีจริง ของมันตามธรรมชาติ โดยวัตถุสีเขียวจะเห็นเป็นสีน้ำเงิน สีแดง
เป็นสีเขียว และ รังสีช่วง NIR เป็นสีแดง ตามลำดับ หรือ
Observed: (NIR, Red, Green) --> Displayed: (Red, Green, Blue)
ฟิล์มอินฟราเรด ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วง WW II เพื่อใช้แยกอาคารหรือวัตถุที่พรางอยู่ในเขตพืชพรรณ ออกจาก
ตัวพืชพรรณจริงที่อยู่รอบข้าง เนื่องจากพืชพรรณจะมีค่าการสะท้อนแสงในช่วง NIR สูงกว่าพวกตัวอาคารมาก
บางครั้งมันจึงถูก เรียกว่าเป็น ฟิล์มตรวจสอบการอำพราง (camouflage detection film)
** ภาพตัดขวางของ ฟิล์มอินฟราเรดสี (infrared color film) ซึ่งจะแบ่งชั้นของการรับแสงเป็น 3 ชั้น ตามช่วงคลื่น
** การตรวจสอบ การอำพราง ซึ่งเกิดจากการใช้พืชพรรณคลุมตัวอาคารไว้ โดยใช้ ฟิล์มอินฟราเรดขาว-ดำ
** ภาพถ่ายโดยใช้ ฟิล์มสีธรรมชาติและฟิล์มอินฟราเรดสี สังเกต สีของพวกพืชพรรณ ที่ปรากฏต่างกันบนภาพ
ตารางเปรียบเทียบ โทนสี ที่ปรากฏของวัตถุหรือพื้นผิว ในรูปถ่าย สีธรรมชาติ และรูปถ่าย อินฟราเรดสี
<!--[if !ppt]--><!--[endif]-->
พื้นผิว
|
รูปถ่ายสีธรรมชาติ
|
รูปถ่ายอินฟราเรดสี
|
พืชพรรณที่สมบูรณ์
พืชใบกว้าง
พืชใบแหลม
|
เขียว
เขียว
|
แดงถึงม่วงแดง
น้ำตาลแดงถึงม่วง
|
พืชผักที่ไม่สมบูรณ์
ช่วงเริ่มต้น
ช่วงแสดงอาการ
|
เขียว
เขียวเหลือง
|
น้ำเงินถึงชมพู
น้ำเงินเขียว
|
ต้นไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
|
เหลืองถึงแดง
|
เหลืองถึงขาว
|
น้ำใส
|
น้ำเงินเขียว
|
น้ำเงินเข้มถึงดำ
|
ผิวน้ำเรียบ
|
เขียวอ่อน
|
น้ำเงินอ่อน
|
ดินชื้น
|
เข้มกว่าเล็กน้อย
|
เข้มอย่างเห็นได้ชัด
|
เขตเงาแสง
|
น้ำเงินและสังเกตรายละเอียดได้
|
ดำโดยไม่มีรายละเอียดมากนัก
|
การส่องทะลุผิวน้ำ
|
ดี
|
แย่ในช่วง IR ที่เหลือพอกัน
|
รอยต่อระหว่างผิวน้ำกับพื้นดิน
|
แย่หรือพอใช้ได้ในการจำแนก
|
แยกกันออกอย่างชัดเจน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น