วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความตายของท้องทะเล

 การขยายกำลังการผลิตของเอทานอล พลังงานทางเลือก กำลังนำความตายมาสู่ท้องทะเล โดยเฉพาะที่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งเริ่มต้นจากบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี ในรัฐหลุยส์เซียนาไปจนถึงรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

พื้นที่การตายของพื้นน้ำนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ไม่กี่ตารางเมตร กว้างไปจนถึง 6,000 – 7,000 ตารางไมล์

ดูอย่างผิวเผิน “สาหร่าย” (Algae) คงจะเป็นแพะรับบาปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจาก “ความตาย” ของอ่าวเม็กซิโก ที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้นั้น เกิดจากการที่สาหร่ายปกคลุมพื้นน้ำทะเลและทำให้พื้นน้ำบริเวณนั้นไม่ได้รับและสัมผัสออกซิเจนอย่างเพียงพอ เป็นสาเหตุให้สัตว์น้ำ สิ่งมีชีวิต เช่น ปู กุ้ง ปลา ในบริเวณนั้นต้องอพยพและบางส่วนที่เคลื่อนไหวออกจากบริเวณได้ช้า เช่น สัตว์เซลล์เดียว หอย ฯลฯ ต้องล้มตายลง

แต่สาเหตุที่ทำให้สาหร่ายในบริเวณอ่าวเม็กซิโก เจริญเติบโตมากเกินกว่าสภาพปกตินั้น กลับมาจากภาคกสิกรรมจากบริเวณเหนือแม่น้ำมิสซิสซิปปี (Mississippi) ที่หันมาเพาะปลูกข้าวโพดเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมกรผลิตเอทานอล ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ

เมื่อฝนตก ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ที่เหลือใช้ก็จะถูกชะล้างและพัดพามารวมกันที่บริเวณปากอ่าว  ทำให้สาหร่ายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากปุ๋ยและเคมีภัณฑ์การเกษตรของเหลือที่มีอย่างมากมาย (Nutrient overloading) เหล่านั้น ทำให้มันมีการแพร่กระจายและขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและหนาทึบ เมื่อมันตายลง  หรือถูกกินโดยแพลงตอนสัตว์ (Zooplankton) มันก็จะจมลงสู่ก้นทะเล เกิดการเน่าเปื่อยในน้ำลึกโดยแบคทีเรีย และกระบวนย่อยสลายนี่เองก็เป็นตัวดูดออกซิเจนที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วมาช่วยในการทำปฏิกิริยา ซึ่งทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำบริเวณนั้นลดน้อยลงไปอีก

                        
                          ภาพแสดงการแยกส่วนของน้ำจืด (ที่มีออกซิเจน) และน้ำเค็มส่วนล่าง (ที่ขาดออกซิเจน)


ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะที่อยู่บนพื้นดินก็เริ่มละลายและน้ำจืดไหลลงสู่ทะเล โดยน้ำจืดที่ไหลมาใหม่นั้นจะไม่ผสมกับน้ำเค็มที่มีอยู่ก่อน แต่กลับแยกส่วนอยู่ด้านบนผิวน้ำ ทำให้โอกาสที่น้ำทะเลส่วนล่างจะได้รับออกซิเจนหมดลงไป ในขณะที่สาหร่าย ที่ยังมีชีวิตผลิตออกซิเจนจากกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่แบคทีเรียที่ย่อยสลายสาหร่ายส่วนที่ตายก็นำเอาออกซิเจนมาช่วยการย่อยสลายเช่นเดียวกัน 

                                         
                                                     ภาพแสดงผิวน้ำที่เป็น Dead Zone

นักนิเวศวิทยาเรียก พื้นที่ท้องน้ำหรืออ่าวที่เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ว่า “Dead Zone” หรือ “Hypoxia” ซึ่ง หมายถึง การที่มีออกซิเจนอยู่น้อย โดยทั่วไปแล้วออกซิเจนน้อยกว่า 2 ส่วนเมื่อเทียบกับน้ำ 1 ล้านส่วน (2ppm) หรือไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตของสัตว์น้ำ และไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัย (Habitat) ได้อีกต่อไป กระบวนทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันนี้เรียก “eutrophication”

ในปีที่ผ่านมา นักนิเวศวิทยาพบว่า Dead Zone ในอ่าวเม็กซิโกนั้นขยายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีการเก็บตั้งแต่ช่วงปี 1980 เป็นต้นมา

เมื่อสิ่งมีชีวิตในท้องน้ำล้มตายลงและอพยพหลบหนี ผลกระทบในระดับต่อไป ก็คือ อาชีพประมงและอุตสาหกรรมอาหารทะเลในท้องที่ ซึ่งที่ผ่านมา อาหารทะเลที่ใช้เลี้ยงคนอเมริกันนั้น 72% มาจากอ่าวเม็กซิโก

                           
                              ภาพแสดงบริเวณที่เกิด และคาดว่าจะเกิด Dead Zone


การตายของทะเลมิได้เกิดอยู่เฉพาะที่อ่าวเม็กซิโกเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายๆปากแม่น้ำทั่วโลก เช่น ทะเลบอลติก (Baltic Sea) ในยุโรป ทะเลดำ (Black Sea)ซึ่งเป็น Dead Zone ที่ใหญ่ที่สุดที่โลก ชายฝั่งโอรากอน (อเมริกา) อ่าวเช็คสปีค (Chesapeake Bay) ทะเลสาบอีรี (Lake Erie) ปากแม่น้ำ Pearl River (จีน) เป็นต้น ส่วนปากแม่น้ำแยงซีนั้น ปัจจุบันยังไม่ถูกจัดเป็น Dead Zone แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็น Dead Zone ในนาคต

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดาวเทียม ฉางเอ๋อ- 1 ชนดวงจัทร์ สิ้นสุดภารกิจ 16 เดือน



คณะกรรมการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศเผย “ฉางเอ๋อ-1” ดาวเทียมสำรวจดวงจันทร์ดวงแรกที่จีนส่งขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปพื้นผิวดวงจันทร์ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2550 ได้ร่วงชนดวงจันทร์เมื่อวันอาทิตย์เวลา 16.13 น.ตามเวลาท้องถิ่น สิ้นสุดภารกิจยาวนานถึง 16 เดือนภายใต้การควบคุมของศูนย์ควบคุมการบินอวกาศที่ปักกิ่ง

ด้านนายหู ฮ่าว ผู้อำนวยการศูนย์โครงการสำรวจดวงจันทร์ก็เคยให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งยิงดาวเทียมตัวนี้ว่า ฉางเอ๋อ-1 ถูกออกแบบมาให้มีอายุขัย 1 ปี หมายความว่าจะมีเชื้อเพลิงเพียงพอสำหรับ 1 ปีเท่านั้น

“ในวงโคจรที่ห่างจากพื้นผิวดวงจันทร์ 200 กิโลเมตรนี้ ดาวเทียมจำเป็นต้องมีการปรับทิศหรือองศา รวมไปถึงการใช้เครื่องมือต่างๆในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะสิ้นเปลืองพลังงานทั้งสิ้น และเมื่อเชื้อเพลิงในตัวดาวเทียมหมดลง เราก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้อีก สุดท้ายมันก็จะตกลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์” หูระบุ

ทั้งนี้ ดาวเทียมฉางเอ๋อถูกส่งขึ้นอวกาศด้วยจรวดลองมาร์ช 3เอ โดยโครงการฉางเอ๋อ ประกอบด้วยปฏิบัติการ 3 ชุด สำหรับขั้นต่อไปคือ การส่งยานท่องดวงจันทร์ที่ไร้มนุษย์ไปเก็บก้อนหินบนพื้นดวงจันทร์ในปี 2555 และปฏิบัติการขั้นสาม คือส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ ซึ่งขณะนี้ จีนได้เล็งไว้ที่ปี 2563


ภาพของดาวเทียมฉางเอ๋อ-1 เมื่อครั้งถูกส่งขึ้นอวกาศและเปลี่ยนวงโคจรถึง 8 ครั้งก่อนจะเข้าสู่วงโคจรปฏิบัติการ

ภาพกราฟฟิกฉางเอ๋อ-1 ที่ถูกควบคุมให้พุ่งชนดวงจันทร์

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มอบ Media Box ให้ท้องถิ่นใช้ติดตามสถานการณ์น้ำ



สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดพิธีมอบอุปกรณ์ติดตามสถานการณ์น้ำอัตโนมัติ(Media Box)ให้กับหน่วยงานท้องถิ่น สำหรับใช้ติดตามข้อมูลน้ำและสนับสนุนการตัดสินใจสั่งการเตือนภัยจากระดับชุมชนสู่ระดับประเทศ โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมด้วย นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายประชา เตรัชน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายพรชัย กล่าวว่าจากการที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการร่วมกันภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOU) "การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ซึ่งมีการขยายผลการดำเนินงานจากระดับภูมิภาคสู่ระดับจังหวัดและระดับตำบล โดยโครงการพัฒนาภูมิสารสนเทศน้ำระดับตำบล ถือเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยผลักดันและพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในการใช้ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนการวางแผนบริหารจัดการน้ำ และพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำและอุทกภัย จากการนำผลวิจัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ทั้งจากการสำรวจทางบกและทางน้ำ แผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียม ระบบตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศ ตลอดจนระบบคลังข้อมูลติดตามสภาพอากาศ และพัฒนาอุปกรณ์เพื่อใช้ติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศ หรือ Media Box ซึ่งเหมาะกับการใช้ติดตามข้อมูลอย่างง่ายให้กับชุมชน เพื่อให้ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเข้าถึงท้องถิ่นและชุมชนได้สะดวก และสามารถใช้งานให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 ปรากฎการณ์ประหลาด ผลกระทบวิกฤต "โลกร้อน!"


รู้สึกได้ว่า จากภาวะน้ำท่วมของไทย ทำให้หลายๆ คนหันมาอ่านสาระความรู้ หรือข่าวที่เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เลยขุดกระทู้เก่าๆ เมื่อปี 2007 มาฝากชาว yenta4 ค่ะ ว่าข้อมูลเหล่านี้ เป็นจริงในปัจจุบันแค่ไหน ..ย้ำนะคะว่านี่คือบทความเมื่อปี 2007
----
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!
สารภูมิแพ้แพร่ระบาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน
คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย
สัตว์อพยพไร้ที่อยู่ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น
สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
"พืช"ขั้วโลกคืนชีพช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก  ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี
แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง
กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ
ทะเลสาบหายสาบสูญเรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น
มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก
สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง
นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย
น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลายภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย
ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น
ชนวนเกิดไฟป่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต
ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอดโลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น
บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน
สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่
ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ
ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลกภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!! นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว
เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง
โบราณสถานเสียหายโบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน

สัญญาณอันตราย! ธารน้ำแข็งกรีนแลนด์"แตกตัว"


ภาพจาก มติชน

ธารน้ำแข็งปีเตอร์แมนน์ ทางตอนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ได้แตกออกเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเป็นสองเท่าของเกาะแมนฮัตตันของสหรัฐฯ
ภาพถ่ายดาวเทียมจากกล้อง Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer บนดาวเทียม"อะควา" ขององค์การนาซา ชี้ให้เห็นแผ่นน้ำแข็งที่แตกออกจนกลายเป็นเกาะขนาดใหญ่ บริเวณส่วนปลายสุดของธารน้ำแข็ง และเริ่มลอยออกเมื่อวันที่ 16-17 ก.ค.
ทั้งนี้ เมื่อปี 2010 ได้เกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ เมื่อธารน้ำแข็งปีเตอร์แมนน์ แตกออกเป็นเกาะขนาดใหญ่ ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 250 ตารางกิโลเมตร
ตามธรรมชาติแล้ว ธารน้ำแข็งจะแตกตัวออกเป็นแผ่นน้ำแข็งเป็นปกติ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าแผ่นน้ำแข็งเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ โดยอีริก ริโญต์ ผู้เชี่ยวชาญจากนาซา กล่าวว่า นี่ไม่ใช่การแตกตัวธรรมดา แต่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึง
ด้านคอนราด สเตฟเฟน ผู้อำนวยการสถาบันป่าไม้ หิมะ และภูมิทัศน์แห่งชาติของสวิตเซอร์แลนด์ คาดว่า แผ่นน้ำแข็งดังกล่าว เมื่อกะขนาดโดยคร่าวๆ จะมีขนาดเป็นครึ้งหนึ่งของแผ่นน้ำแข็งที่แตกออกเมื่อปี 2010
อย่างไรก็ดี คาดว่าแผ่นน้ำแข็งที่แตกออกไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลมากนัก แม้ว่ามันจะเริ่มลอยออกห่างบ้างแล้ว
จากข้อมูลของสมาคมแคนาเดียน ไอซ์ เซอร์วิส แผ่นน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งปีเตอร์แมนน์ บางครั้งมักจะลอยออกไปไกลถึงชายฝั่งรัฐนิวฟันด์แลนด์ของแคนาดา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเดินเรือและการทำประมง
นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังแสดงความเป็นห่วงว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แผ่นน้ำแข็งจากเกาะกรีนแลนด์ เริ่มมีความบางลงเรื่อยๆ ขณะที่อากาสก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การประยุกต์ใช้ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS

การประยุกต์ใช้ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS
ในงานด้านการชลประทาน
      การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร GIS ในงานด้านชลประทาน ตามประเด็นยุทธศาสตร์หลักของกรมชลประทานที่การบริหารจัดการน้ำมีส่วนเกี่ยวข้อง ถือเป็นภารกิจหลักอันสำคัญ ได้แก่ การจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรอย่างพอเพียง การป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ และการพัฒนาบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการปัจจุบันกรมชลประทานได้นำเอานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ และมีบทบาทในการบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์หลักดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางด้านภูมิสารสนเทศ (Geo-Informatics) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถรวบรวม จัดเก็บ จัดการ วิเคราะห์และตีความข้อมูลข่าวสารเชิงพื้นที่ นั่นคือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ระบบการกำหนดตำแหน่งบนโลก(Global Positioning Systems: GPS) การรับรู้จากระยะไกล (Remote Sensing: RS) การสำรวจด้วยภาพถ่าย(Photogrammetry) และเทคโนโลยีการทำแผนที่ (Mapping Technologies) มาใช้ในงานชลประทานส่วนต่างๆ ได้แก่ งานด้านการบริหารโครงการ เช่น วางแผนการชลประทาน โดยเฉพาะการให้ข้อมูลเกี่ยวกับคลองชลประทาน แม่น้ำ ลำคลอง หนองน้ำ อ่างเก็บน้ำและเขื่อน วางแผนพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำในแต่ละลุ่มน้ำ ศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อการพิจารณาโครงการชลประทานเบื้องต้น
       สำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับเกษตรกรรมและรองรับการใช้น้ำในการขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้น้ำในชุมชน งานด้านสำรวจและธรณีวิทยา เช่น จัดทำแผนที่ประเภทต่างๆสำหรับศึกษาความเหมาะสมของงานออกแบบโครงการชลประทาน วางแผนการสร้างอ่างเก็บน้ำ เขื่อน กำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ ใช้ประกอบการพิจารณาการจ่ายค่าชดเชย การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน งานด้านสารสนเทศ เช่น จัดทำและพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เผยแพร่การใช้งานข้อมูล และงานด้านอุทกวิทยาและบริหารน้ำ สามารถติดตามสถานการณ์น้ำฝน น้ำท่า น้ำในอ่างเก็บน้ำและปริมาณการใช้น้ำ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนใช้ประเมินหาขอบเขตอุทกภัย-รวมทั้งการเข้าถึงพื้นที่ จากเส้นทางการคมนาคม เพื่อการวางแผนป้องกันและบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น

 
 
 

วิธีการออกแบบด้วยตัวแบบอี-อาร์จะมีการแสดงกลุ่มของข้อมูล

              
                8.1.2 สัญลักษณ์ต่าง ๆ
                                วิธีการออกแบบด้วยตัวแบบอี-อาร์จะมีการแสดงกลุ่มของข้อมูล และความสัมพันธ์ออกมาเป็นแผนภาพ โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังนี้
                สัญลักษณ์พื้นฐาน                                                              ความหมาย
1. เอนทิตี้ (Regular Entity : สิ่งที่สามารถระบุได้อย่างแจ้ง        ชัด เป็นวัตถุที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ได้ เป็นสิ่งที่เราสนใจจะนำมาไว้เป็นตารางในฐานข้อมูล แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ  ชนิดอ่อนแอ กับชนิดธรรมดา)               
2. รีเลชั่นชิพ หรือความสัมพันธ์ระดับปรกติ (Regular Relationship : เป็นความสัมพัน์ระหว่างเอนทิตี้ปรกติตั้งแต่ 2 เอนทิตี้ขึ้นไป
3. พร็อบเพอร์ตี้ หรือคุณสมบัติ (Property : คือ รายละเอียดซึ่งปรากฏได้ทั้งในเอนทิตี้ หรือรีเลชั่นชิพ ซึ่งภายหลังจะถูกกำหนดให้เป็นแอตทริบิวต์)
4. อัตราส่วนความสัมพันธ์ของแถวข้อมูลระหว่างสองเอนทิตี้ (Cardinality Ratio) มี 3 ชนิด คือ 1 ต่อ 1 (One to One)
1 ต่อ หลาย (One to Many) หรือ กลับกัน
และหลายต่อหลาย (Many to Many
ต่อ 1 (to One)
                                                                                                ต่อหลาย (to Many) คือ ต่อ 1 หรือมากกว่า
                                                                                                ต่อ 0 หรือ 1 (to zero or one)
                                                                                                ต่อ 0 หรือมากกว่า (to zero or more)
                                                                                                ต่อมากกว่า 1 (to More than 1) คือ ต่อมากกว่า 1
สัญลักษณ์เพิ่มเติม                                                                              ความหมาย
                                                                          5. เอนทิตี้ชนิดอ่อนแอ (Weak Entity : เป็นเอนทิตี้ที่ขึ้นอยู่
                                                                                กับเอนทิตี้อื่น ถ้าไม่มีเอนทิตี้นั้นก็จะไม่มีเอนทิตี้ชนิด
                                                                                    อ่อนแอนี้)
                                                                               6. เอนทิตี้ที่แปลงมาจากรีเลชั่นชิพ (Associative   Entity :
                                                                     เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เอนทิตี้ขึ้นไป ซึ่งเป็นแบบ
                                                                     หลายต่อหลาย และจะถูกแปลงให้เป็นตารางในที่สุด)



                                                                 7. วีครีเลชั่นชิพ หรือความสัมพันธ์ระดับอ่อนแอ (Weak
                                                                     Relationship : เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ที่เป็น
                                                                    ชนิดอ่อนแออย่างน้อย 1 เอนทิตี้
                                                                 8. คุณสมบัติแบบมีหลายค่า (Multi-Value Property เช่น ถ้า
                                                                    ในตาราง Supplier โดยผู้จัดส่งแต่ละรายมีเมืองที่ตั้งหลาย
                                                                     แห่ง CITY ก็จะกลายเป็นคุณสมบัติแบบมีหลายค่า)
                                                                               9. เส้นคู่แสดงความสัมพันธ์แบบ Total Participation เช่น
                                                                     พนักงานทุกคนในตาราง Emp ต้องสังกัดแผนกใดแผนก
 หนึ่งในตาราง Dept อย่างนี้ถือว่าเป็น Total Participation                                                            แต่ถ้าบางแผนกไม่มีพนักงานในสังกัดเลยถือว่าเป็นความ
                                                                     สัมพันธ์แบบ Partial Participation

8.1.3 ลักษณะของตัวแบบอี-อาร์ ประกอบด้วย
1. เอนทิตี้
2. คุณสมบัติ (Property) ของเอนทิตี้ ซึ่งก็คือ แอตทริบิวต์ของรีเลชั่น เป็นรายละเอียดของข้อมูลในเอนทิตี้ใด ๆ โดยอาจจะมีหน้าที่เป็นคีย์หลัก (Primary Key) คีย์ประกอบ (Composite Keys) คีย์นอก (Foreign Key) หรือเป็นแอตทริบิวต์ธรรมดา (Nonkeys)
3. ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ (หรืออัตราส่วนความสัมพันธ์ของแถวข้อมูลระหว่างสองเอนทิตี้) อาจเป็นความสัมพันธ์แบบใดแบบหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
     3.1 แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to One) ใช้ตัวย่อว่า 1:1
      3.2 แบบหนึ่งต่อหลาย (One to Many) ใช้ตัวย่อว่า 1:N
      3.3 แบบหลายต่อหลาย (Many to Many) ใช้ตัวย่อว่า M:N
8.1.4 ขั้นตอนในการออกแบบฐานข้อมูลโดยใช้แผนภาพอี-อาร์
1. วิเคราะห์งานในระบบธุรกิจ
2. กำหนดเอนทิตี้ในระบบและคุณสมบัติเบื้องต้น
3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
4. ร่างแผนภาพอี-อาร์ ตามเอนทิตี้และความสัมพันธ์ที่กำหนดไว้
5. ทบทวนและปรับปรุงรายละเอียดของเอนทิตี้ คุณสมบัติ และความสัมพันธ์ รวมทั้งกำหนดคีย์
ต่าง ๆ
6. แปลงแผนภาพอี-อาร์ เป็นรีเลชั่น ตามหลักเกณฑ์ที่แนะนำ
7. จัดทำพจนานุกรมข้อมูลจากรีเลชั่นและรายละเอียดที่เตรียมไว้
ตัวอย่างการออกแบบโดยใช้แผนภาพอี-อาร์ ตามขั้นตอนที่เสนอแนะข้างต้น
1. วิเคราะห์งานในระบบ
ระบบงานจริงย่อมจะมีความละเอียดซับซ้อนและจะเป็นระบบใหญ่เป็นส่วนมาก แต่เพื่อเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจตามข้อจำกัดของเวลาในการเรียนรู้และพื้นที่หน้ากระดาษ จึงจะขอนำมาเป็นตัวอย่างเฉพาะบางส่วนของระบบงานทั้งหมด
ระบบงานที่จะนำมาเป็นตัวอย่างต่อไปนี้เป็นระบบบริหารสถานศึกษา เพียงบางลักษณะที่สนใจเท่านั้น
2. กำหนดเอนทิตี้และคุณสมบัติเบื้องต้น
     2.1 TEACHER เป็นเอนทิตี้ที่แสดงรายละเอียดของอาจารย์ในสถานศึกษา มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ รหัสอาจารย์ ชื่อ นามสกุล เป็นต้น
      2.2 DEPARTMENT เป็นเอนทิตี้ที่แสดงรายละเอียดของแผนกวิชา หรือแผนกงาน มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ รหัสแผนก ชื่อแผนก เป็นต้น
      2.3 DEPENDANT เป็นเอนทิตี้ที่แสดงรายละเอียดของสมาชิกในครอบครัวขออาจารย์ โดยที่เป็นเอนทิตี้ชนิดอ่อนแอ (Weak Entity) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเอนทิตี้ TEACHER มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ รหัสคนในครอบครัว ชื่อ นามสกุล ความสัมพันธ์ เป็นต้น
       2.4 CLASS เป็นเอนทิตี้ที่แสดงรายละเอียดของชั้นเรียนที่อยู่ภายใต้การให้คำปรึกษาของอาจารย์ มีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ รหัสชั้น ชื่อชั้น ภาคเรียนเริ่มต้น ภาคเรียนปัจจุบัน เป็นต้น
       สมมติว่าระเบียบปฏบิตของสถานศึกษากำหนดไว้ดังนี้
  1. อาจารย์หนึ่งคนจะต้องสังกัดอยู่เพียงหนึ่งแผนกเท่านั้
  2. ชั้นเรียนหนึ่ง ๆ จะมีอาจารย์หลายคนจากแผนกใด ๆ มาเป็นที่ปรึกษาก็ได้ ปรกติชั้นละ 3 คน
  3. ชั้นเรียนหนึ่ง ๆ จะมีรหัสเฉพาะไม่ซ้ำกันเลยในระบบ เมื่อชั้นเรียนเลื่อนระดับไป เช่น ชั้นปีที่ 2 ชื่อชั้นจะเปลี่ยนไป แต่เลขรหัสจะยังคงเดิม
  4. อาจารย์คนหนึ่งเป็นที่ปรึกษาได้หลายชั้น แต่เป็นได้เพียงปีละ 1 ชั้น เท่านั้น
               3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
                                3.1 ความสัมพันธ์ชื่อ “WORK-IN” (ทำงานสังกัดในแผนกใด) เป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลาย ระหว่างเอนทิตี้ DEPARTMENT กับ TEACHER ดังรูป

                                                                  1                                               N
         DEPARTMENT                                           WORK-IN                                       TECHER

                                3.2 ความสัมพันธ์ชื่อ “SUPERVISE” (บังคับบัญชา) เป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลายระหว่างเอนทิตี้ TEACHER (SUPERVISOR ในฐานะผู้บังคับบัญชา) กับ TEACHER (SOBORDINATE ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา) ดังรูป

                                                                               TEACHER
                                                                       1                                            N
                                  SUPERVISOR                                                            SUBORDINATE
                                                                                SUPERVISE

                                3.3 ความสัมพันธ์ชื่อ “ADVISE” (ให้คำปรึกษา) เป็นความสัมพันธ์แบบหลายต่อหลายระหว่างเอนทิตี้ CLASS กับ TEACHER ดังรูป

                                                      M                                              N
         TEACHER                                                          ADVISE                                            CLASS

ซึ่งอาจเขียนได้อีกแบบหนึ่ง ดังนี้
                                                     1      N                                                      N      1
         TEACHER                                            ADVISE                                         CLASS

                                3.4 ความสัมพันธ์ชื่อ “SUPPORT” (อุปการะ) เป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลาย ระหว่างเอนทิตี้ TEACHER กับ DEPEMDANT ดังรูป


                                                      1                                                                N
               TEACHER                                                   SUPPORT                                  DEPARTMENT

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Database หัวใจของ CRM ในโลก Internet

 

Database หัวใจของ CRM ในโลก Internet


 

CRM หรือชื่อเต็มก็คือ "Customer Relationship Management (การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า์)" มีคนกูรู(Guru) หลายท่านได้ให้คำจัดความเอามากมาย แต่ผู้เขียนขอสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายดังนี้

CRM นั้นเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจอันหนึ่งที่มีเป้าหมายเพื่อที่สร้างความสัมพันธ์ อันดีัระหว่างลูกค้าหรือคู่ค้ากับบริษัทในระยะยาว โดยมุ่งที่จะศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจอย่างต่อเนื่องและนำมาซึ่งผลกำไรในระยะยาว ซึ่งการที่จะบรรลุจุดประสงค์ของ CRM ได้นั้นจำเป็นจะต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานของพนักงานทั้งองค์กร โดยเฉพาะส่วนที่จะต้องมาการติดต่อกับลูกค้าโดยตรง นอกจากนี้ ยังต้องมีการศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น การที่จะศึกษาความต้องการของลูกค้าได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลของลูกค้า จากหลาย ๆ ด้าน และนั่นคือที่มาของซอฟแวร์ CRM ที่มีบทบาทในการเก็บข้อมูลเหล่านั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์ และจัดการแคมเปญ CRM ที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้น ๆ หรือกลุ่มนั้น ๆ(Customization)

จะเห็นว่าการนำ กลยุทธ์ CRM มาใช้ก็เพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว ฉะนั้น บทบาทหลักของ CRM นั้นก็จะมุ่งไปยังลูกค้าปัจจุบันเป็นสำคัญและพยายามสร้างความจงรัก ภักดี(Loyalty) ให้เกิดกับลูกค้า และลดกอัตราการสูญเสียลูกค้า(Churn Rate) หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ CRM ถูกนำมาใช้ก็คือ การหาลูกค้าใหม่นั้นมีต้นทุนในการได้มาสูงกว่าลูกค้าเก่ามาก แต่หากเราปฏิบัติไม่ดี หรือเสนอในสิ่งที่ลูกค้าไม่พอใจผลที่ได้ไม่ใช่แต่เพียงลูกค้าคนนั้น ๆ จะตีจากไป เผลอ ๆ ลูกค้าคนนั้นยังบอกต่อ ๆ กันไปอีกหลายคนนั่นย่อมส่งผลกระทบต่อภาพพจน์และผลกำไรในระยะยาวขององค์กรได

Database หัวใจของ CRM

หัวใจสำคัญของทำ CRM คือการรู้จักลูกค้าอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง จากนั้น นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจหรือเกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้ แต่อยู่ในระดับที่ลูกค้ายังพึงพอใจอยู่ การที่จะสนองตอบเป้าหมายของ CRM นั้นจำเป็นจะต้องมีการศึกษาข้อมูลต่างๆของลูกค้า พฤติกรรมต่างๆ ของลูกค้าที่มีกับสินค้าหรือบริการ หรือตัวบริษัทเอง รวมถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าได้จากการใช้สินค้าและบริการของบริษัท นำมาวิเคราะห์ ตีความ และำนำเสนอสิ่งพึงใจอย่างต่อเนื่อง

และการที่จะทำให้ กระบวนการวิเคราะห์ ตีความ และำนำเสนอนั้นต้องอาศัยระบบฐานข้อมูลที่ดีพอ เห็นมั้ยละ่ครับว่า Database เริ่มถูกนำมาใช้แล้ว แต่การใช้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่การมุ่งทำ Database Marketing เท่านั้่น แต่นำมาใช้เพื่อให้เกิดกระบวนการ"สนองความพอใจลูกค้า" ของทั้งองค์กร มาถึงตรงนี้ จะขอยกตัวอย่างของการนำ Database ของลูกค้ามาเพื่องาน CRM ให้ดูสักตัวอย่างหนึ่ง

ห้างสรรพสินค้า แห่งหนึ่งศึกษาข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลลูกค้าภายใต้โปรแกรม CRM พบว่า ลูกค้าเกรด A กลุ่มหนึ่งที่ชอบการเดินทางแบบผจญภัยในป่า ทุกครั้งที่จะไปเดินป่ามักจะมาซื้อของใช้ที่จำเป็นที่ห้างทุกครั้ง เมื่อรู้ดังนี้ ทางห้างจึงออกแคมเปญ "ท่องป่าสุดคุ้ม ประจำปี " โดยทางห้างจัดโปรแกรมการเดินป่าในราคาพิเศษ ซึ่งราคานี้รวมสินค้าที่จำเป็นในการเดินป่าที่ลูกค้ากลุ่มนั้นมักจะซื้อเป็น ประจำไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างมากและกลับมาร่วมแคมเปญนี้อีกทุก ๆ ปี

จะเห็นได้ว่า ห้างนี้ทำการเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์ และนำเสนอสิ่งที่เป็นที่ต้องใจกับลูกค้า จนได้รับผลตอบรับอันน่าพอใจทั้งฝ่ายลูกค้าและห้างนั้น แต่การที่่จะได้มาซึ่งแคมเปญที่ตรงใจลูกค้าฐานข้อมูลที่ดีย่อมมีส่วนสำคัญ และฐานข้อมูลที่ดีนั้นใช่เพียงแค่มีชื่อ-สกุล ที่อยู่ลูกค้า เท่านั้นก็จบ แต่ต้องอาศัยข้อมูลหลายๆ ด้าน อย่างที่เคยบอกไว้ใน CRM & database marketing ความเหมือนที่แตกต่าง(ภาคหนึ่ง)

CRM ในโลก Internet

คนทำเว็บ ก็อยากให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้ามาชมและติดตามเป็นประจำแต่ด้วยจำนวนเว็บมาก มายในโลกอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้มีอำนาจในการสั่งการเพียงปลายนิ้วสัมผัสก็ชี้เป็นชี้ตายให้กับเว็บ นั้น ๆได้พอสมควร และสำหรับ E-Commerce ด้วยแล้ว หากไม่สามารถมัดใจลูกค้าหรือผู้ใช้ให้อยู่หมัดก็ย่อมสูญเสียลูกค้าให้กับคู่ แข่งได้ง่าย ๆ เพียงหนึ่งคลิ๊ก

ฉะนั้น CRM จึงถูกนำมาใช้บนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการนำกลยุทธ์ CRM มาใช้ก็คือ Amazon.com เว็บไซต์ขายหนังสือและสินค้าระดับโลก หากคุณได้สมัครเป็นสมาชิกของ amazon หรือสั่งซื้อสินค้าจากเว็บนี้สิ่งที่คุณจะได้รับคือเมื่อคุณเข้าไปเว็บนี้ ครั้งต่อไป คุณก็จะพบว่ารายการสินค้าหรือหนังสือที่คุณเจอบนหน้าเว็บ คือหมวดรายการสินค้าหรือหนังสือที่คุณเคยซื้อหรือเคยค้นหามาก่อนหน้านี้เอง ซึ่งทางรายการเหล่านั้นจะแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล เพราะทาง Amazon พยายามศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้หรือสมาชิกและเก็บมันไว้ในฐานข้อมูลและเมื่อ ลูกค้าคนเดิมกลับเข้าเว็บอีกครั้ง Amazon ก็จะเตือนความทรงจำของคุณว่าครั้งก่อน คุณเคยซื้อสินค้าประเภทใดไปและนำเสนอสินค้าประเภทเดียวกันและใกล้เคียงกับ ที่คุณสนใจ นำมาเสนอให้คุณเพื่อเพิ่มโอกาสการขายสินค้า(Upselling) ให้มากขึ้น

นอกจากการนำ CRM มาใช้ในการทำธุรกิจบน internet แล้ว Internet ก็สามารถเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำ CRM เช่นการเพิ่มช่องทางการติดต่อระหว่างลูกค้ากับบริษัท ทางอีเมลล์หรือเว็บไซต์ หรือการเปิดช่องทางในการขายสินค้าอีกช่องหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้า กลุ่มที่รักการชอปปิ้งอยู่ที่บ้านโดยผ่าน internetระบบฐานข้อมูล (Database System) คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและดูแลรักษาป้องกันข้อมูลเหล่านี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่าง
ผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ
DBMS (data base management system)มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล

ประโยชน์ของฐานข้อมูล
1 ลดการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมี
ปรากฏอยู่หลาย ๆ แห่ง เพราะมีผู้ใช้ข้อมูลชุดนี้หลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลแล้วจะช่วยให้
ความซ้ำซ้อนของข้อมูลลดน้อยลง
2 รักษาความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงฐานข้อมูลเดียว ใน
กรณีที่มีข้อมูลชุดเดียวกันปรากฏอยู่หลายแห่งในฐานข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้จะต้องตรงกัน ถ้ามีการ
แก้ไขข้อมูลนี้ทุก ๆ แห่งที่ข้อมูลปรากฏอยู่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามกันหมดโดยอัตโนมัติด้วย
ระบบจัดการฐานข้อมูล
2.3 การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำได้อย่างสะดวก การ
ป้องกันและรักษาความปลอดภัยกับข้อมูลระบบฐานข้อมูลจะให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ซึ่งก่อให้เกิดความปลอดภัย(security) ของข้อมูลด้วย
 

DBMS คืออะไร
DBMS    ย่อมาจาก Database Management System
DB คือ Database  หมายถึง ฐานข้อมูล
M คือ Management หมายถึง การจัดการ
S คือ System หมายถึง ระบบ
   DBMS คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไข
การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือ จะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล (Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลใน ฐานข้อมูลต่อไป
   DBMS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Data Independence ที่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ทำให้มีความเป็นอิสระจากทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์ และข้อมูลภายในฐานข้อมูลกล่าวคือโปรแกรม DBMS นี้จะมีการทำงานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform) ของตัวฮาร์ดแวร์ ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงประเภทหรือขนาดของข้อมูลนั้นหรือสามารถกำหนดลำดับที่ของฟิลด์ ในการกำหนดการแสดงผลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลำดับที่จริงของฟิลด์ นั้น
   หน้าที่ของ DBMS
1.) ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ข้อมูลเข้าใจ
2.) ทำหน้าที่ในการนำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) หรือ การเพิ่มข้อมูลเป็นต้น (Add) ฯลฯ
3.) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำได้
4.) ทำหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
5.) ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน data dictionary ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "ข้อมูลของข้อมูล" (Meta Data)
6.) ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
DBMS คืออะไร
DBMS    ย่อมาจาก Database Management System
DB คือ Database  หมายถึง ฐานข้อมูล
M คือ Management หมายถึง การจัดการ
S คือ System หมายถึง ระบบ
   DBMS คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไข
การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือ จะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล (Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลใน ฐานข้อมูลต่อไป
   DBMS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Data Independence ที่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ทำให้มีความเป็นอิสระจากทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์ และข้อมูลภายในฐานข้อมูลกล่าวคือโปรแกรม DBMS นี้จะมีการทำงานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform) ของตัวฮาร์ดแวร์ ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงประเภทหรือขนาดของข้อมูลนั้นหรือสามารถกำหนดลำดับที่ของฟิลด์ ในการกำหนดการแสดงผลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลำดับที่จริงของฟิลด์ นั้น
   หน้าที่ของ DBMS
1.) ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ข้อมูลเข้าใจ
2.) ทำหน้าที่ในการนำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) หรือ การเพิ่มข้อมูลเป็นต้น (Add) ฯลฯ
3.) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำได้
4.) ทำหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
5.) ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน data dictionary ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "ข้อมูลของข้อมูล" (Meta Data)
6.) ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ประเภทของฟิล์มในการถ่ายภาพทางทางอากาศ




           ประเภทของฟิล์มในการถ่ายภาพทางทางอากาศ

รูปถ่าย (photograph) เกิดมาจากการทำปฏิกิริยาระหว่าง แสง ที่ตกกระทบบนฟิล์ม กับตัว สารไวแสง
ที่เคลือบอยู่บนฟิล์มนั้น ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้น โดยปัจจุบันอาจแยกฟิล์มออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. ฟิล์มขาวดำ (black-and-white film หรือ B/W film)
2. ฟิล์มสีธรรมชาติ (natural color film) และ
3. ฟิล์มอินฟราเรดสี (color infrared film)

ทั้งนี้ ฟิล์มขาวดำ อาจแยกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ

1. ฟิล์มแพนโครมาติก (panchromatic film) ซึ่งมีช่วงไวแสงอยู่ระหว่าง 0.4 ถึง 0.7 ไมโครเมตร
(ช่วงแสงขาว) และ
2. ฟิล์มอินฟราเรด (infrared-sensitive film) ซึ่งมีช่วงไวแสงอยู่ระหว่าง 0.4 ถึง 0.9 ไมโครเมตร
(ช่วงแสงขาว และ NIR)

ระหว่าง ฟิล์มขาวดำ ทั้งสองแบบ ฟิล์มแพนโครมาติกจะได้รับความนิยมใช้ มากกว่า ฟิล์มอินฟราเรด


** ช่วงการไวต่อแสงของพวก ฟิล์มขาวดำ คือฟิล์มแพนโครมาติกและฟิล์มอินฟราเรด

** ช่วงไวแสงปกติของ ฟิล์มสีธรรมชาติ และ ฟิล์มอินฟราเรดสี


สำหรับ สารไวแสง ที่เคลือบด้านบนของพวกฟิล์มแพนโครมาติกไว้ มักเป็นองค์ประกอบของ ธาตุเงิน
พวก silver helide แขวนลอยอยู่ในสารโปร่งใสพวก gelatin ซึ่งมีความหนาประมาณ 5 ไมโครเมตร

ฟิล์มแพนโครมาติก มีข้อดีคือ มันสร้างภาพตามระดับความเข้ม แบบขาว-ดำ (gray scale) ของรังสี
ในช่วงแสงขาวได้ดี ทำให้ภาพที่ได้มี ความสมจริง มากขึ้น เช่น เมฆมีสีขาว หรือ ผิวน้ำมีสีดำ เป็นต้น

ส่วน ฟิล์มอินฟราเรด จะถ่ายภาพของพวก พืชพรรณ ออกมาได้ดี เนื่องจากพืชพรรณที่สมบูรณ์จะมี
ค่าการสะท้อนแสงในช่วง NIR สูง ทำให้เห็นเป็นส่วนที่สว่างบนภาพ (บนภาพแบบขาวดำ)

สำหรับ ฟิล์มสีธรรมชาติ จะไม่มีสารพวก silver halide ผสมอยู่เหมือนฟิล์มขาว-ดำ แต่มันจะบันทึก
ข้อมูลในช่วงสี แดง เขียว และ น้ำเงิน แยกเป็นชั้นอิสระต่อกันบนแผ่นฟิล์ม โดยชั้นไวแสงของแสง
สีน้ำเงิน จะอยู่ด้านบนสุด ตามมาด้วย แสงสีเขียว และ สีแดง ตามลำดับ

ระหว่างชั้นของ สีน้ำเงินและสีเขียว จะมี ตัวกรอง แสงสีน้ำเงินออกไปจนหมด ทำให้เหลือเฉพาะ
พวกแสงสีเขียวและสีแดงเท่านั้น ที่ผ่านลงไปสู่ชั้นล่างได้


** ภาพตัดขวางของฟิล์มขาวดำพวก ฟิล์มแพนโครมาติก (panchromatic film)

** ภาพตัดขวางของ ฟิล์มสีธรรมชาติ (natural color film) ซึ่งจะแบ่งชั้นของการรับแสงเป็น 3 ชั้น ตามค่าสี

สำหรับ ฟิล์มอินฟราเรดสี จะบันทึกข้อมูลเฉพาะในช่วงคลื่นของแสง สีเขียว แดง และช่วง NIR เท่านั้น โดยแสง
ที่มีความยาวคลื่น ต่ำกว่า 0.5 ไมโครเมตร (แสงสีน้ำเงิน) จะถูกกรองออกไปจนหมด

ภาพที่ได้จากฟิล์มอินฟราเรดสี จะเรียกว่าเป็น ภาพสีผสมเท็จ (false-color photograph) เนื่องจากว่าสีของวัตถุ
ที่ปรากฏ มักจะถูก แต่ง ให้ต่างไปจาก สีจริง ของมันตามธรรมชาติ โดยวัตถุสีเขียวจะเห็นเป็นสีน้ำเงิน สีแดง
เป็นสีเขียว และ รังสีช่วง NIR เป็นสีแดง ตามลำดับ หรือ

Observed: (NIR, Red, Green)  --> Displayed: (Red, Green, Blue)

ฟิล์มอินฟราเรด ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วง WW II เพื่อใช้แยกอาคารหรือวัตถุที่พรางอยู่ในเขตพืชพรรณ ออกจาก
ตัวพืชพรรณจริงที่อยู่รอบข้าง เนื่องจากพืชพรรณจะมีค่าการสะท้อนแสงในช่วง NIR สูงกว่าพวกตัวอาคารมาก
บางครั้งมันจึงถูก เรียกว่าเป็น ฟิล์มตรวจสอบการอำพราง (camouflage detection film)

** ภาพตัดขวางของ ฟิล์มอินฟราเรดสี (infrared color film) ซึ่งจะแบ่งชั้นของการรับแสงเป็น 3 ชั้น ตามช่วงคลื่น

** การตรวจสอบ การอำพราง ซึ่งเกิดจากการใช้พืชพรรณคลุมตัวอาคารไว้ โดยใช้ ฟิล์มอินฟราเรดขาว-ดำ

** ภาพถ่ายโดยใช้ ฟิล์มสีธรรมชาติและฟิล์มอินฟราเรดสี สังเกต สีของพวกพืชพรรณ ที่ปรากฏต่างกันบนภาพ

ตารางเปรียบเทียบ โทนสี ที่ปรากฏของวัตถุหรือพื้นผิว ในรูปถ่าย สีธรรมชาติ และรูปถ่าย อินฟราเรดสี

<!--[if !ppt]--><!--[endif]-->
พื้นผิว
รูปถ่ายสีธรรมชาติ
รูปถ่ายอินฟราเรดสี
พืชพรรณที่สมบูรณ์
พืชใบกว้าง
พืชใบแหลม
เขียว
เขียว
แดงถึงม่วงแดง
น้ำตาลแดงถึงม่วง
พืชผักที่ไม่สมบูรณ์
ช่วงเริ่มต้น
ช่วงแสดงอาการ
เขียว
เขียวเหลือง
น้ำเงินถึงชมพู
น้ำเงินเขียว
ต้นไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
เหลืองถึงแดง
เหลืองถึงขาว
น้ำใส
น้ำเงินเขียว
น้ำเงินเข้มถึงดำ
ผิวน้ำเรียบ
เขียวอ่อน
น้ำเงินอ่อน
ดินชื้น
เข้มกว่าเล็กน้อย
เข้มอย่างเห็นได้ชัด
เขตเงาแสง
น้ำเงินและสังเกตรายละเอียดได้
ดำโดยไม่มีรายละเอียดมากนัก
การส่องทะลุผิวน้ำ
ดี
แย่ในช่วง IR ที่เหลือพอกัน
รอยต่อระหว่างผิวน้ำกับพื้นดิน
แย่หรือพอใช้ได้ในการจำแนก
แยกกันออกอย่างชัดเจน

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล : ER-DIAGRAM


การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล : ER-DIAGRAM
แนวคิดเกี่ยวกับ ER-DIAGRAM
ER-DIAGRAM ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานดังนี้
  • เอนทิตี้ (Entity) เป็นวัตถุ หรือสิ่งของที่เราสนใจในระบบงานนั้น ๆ
  • แอททริบิว (Attribute) เป็นคุณสมบัติของวัตถุที่เราสนใจ
  • ความสัมพันธ์ (Relationship) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
เอนทิตี้ (Entity)
                เอนทิตี้  หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุที่เราสนใจ ซึ่งอาจจับต้องได้และเป็นได้ทั้งนามธรรม โดยทั่วไป เอนทิตี้จะมีลักษณะที่แยกออกจากกันไป เช่น เอนทิตี้พนักงาน จะแยกออกเป็นของพนักงานเลย เอนทิตี้เงินเดือนของพนักงานคนหนึ่งก็อาจเป็นเอนทิตี้หนึ่งในระบบของโรงงาน
โดยทั่วไปแล้ว เอนทิตี้จะมีกลุ่มที่บอกคุณสมบัติที่บอกลักษณะของเอนทิตี้ เช่น พนักงานมีรหัส ชื่อ นามสกุล และแผนก โดยจะมีค่าของคุณสมบัติบางกลุ่มที่ทำให้สามารถแยกเอนทิตี้ออกจากเอนทิตี้อื่นได้ เช่น รหัสพนักงานที่จะไม่มีพนักงานคนไหนใช้ซ้ำกันเลย เราเรียกค่าวของคุณสมบัติกลุ่มนี้ว่าเป็นคีย์ของเอนทิตี้
รูปสัญลักษณ์ของเอนทิตี้ คือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวอย่างเช่น

แอททริบิวท์ (Attribute) 
Attribute คือ คุณสมบัติของวัตถุหรือสิ่งของที่เราสนใจ โดยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของเอนทิตี้ โดยคุณสมบัตินี้มีอยู่ในทุกเอนทิตี้ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ แผนก เป็น Attribute ของเอนทิตี้พนักงาน
โดยทั่วไปแล้วโมเดลข้อมูล เรามักจะพบว่า Attribute มีลักษณะข้อมูลพื้นฐานอยู่โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายมากมาย และ Attribute ก็ไม่สามารถอยู่แบบโดด ๆ ได้โดยที่ไม่มีเอนทิตี้หรือความสัมพันธ์
รูปสัญลักษณ์ของ Attribute คือ รูปวงรีโดยที่จะมีเส้นเชื่อมต่อกับเอนทิตี้ ตัวอย่างเช่น

 
ชนิดของ Attribute สามารถแบ่งออกได้หลายลักษณะดังนี้
Simple และ Composite
  • Simple Attribute คือ Attribute ที่ไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น รหัส
  • Composite Attribute คือ Attribute ที่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น ชื่อ อาจจะประกอบด้วยชื่อต้น และชื่อสกุล เป็นต้น โดยยกตัวอย่างเช่น
  





Single – valued และ Multi – valued attribute
  • Single – valued คือ ค่าของเอนทิตี้ที่สามารถมีได้แค่ค่าเดียว เช่น วันเกิด สำหรับพนักงานแล้วสามารถมีได้เพียงค่าเดียว จึงให้สัญลักษณ์ของ Attribute ปกติ
  • Multi – valued คือ ค่าที่เป็นไปได้มากกว่า 1 ค่า เช่น ทำเลที่ตั้งของโรงงานสามารถมีได้มากกว่า 1 แห่ง
  • รูปสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นรูปวงรีซ้อนกัน 2 รูป โดยจะยกตัวอย่างเช่น
 
Stored และ Derived attribute
  • Stored Attribute จะเป็น Attribute ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล เช่น วันเกิด ใช้สัญลักษณ์ปกติ
  • Derived Attribute เป็น Attribute ที่เกิดจากการคำนวณ เช่น อายุ เกิดจากการคำนวณวันเกิดกับช่วงเวลาปัจจุบัน
  • รูปสัญลักษณ์ คือ รูปวงรีมีเส้นประรอบ ๆ โดยจะยกตัวอย่าง เช่น
ความสัมพันธ์ (Relationship)
เอนทิตี้แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยจะมีชื่อแสดงความสัมพันธ์ร่วมกันซึ่งจะใช้รูปภาพสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมรูปว่าวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิต
ี้และระบุชื่อความสัมพันธ์ลงในสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่างเช่น รูปนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้สังกัดกับแผนก

10อันดับตึกที่สวยที่สุดในโลก

รางวัลนี้ มาจากโหวต ของเวปไซต์ชื่อดัง เกี่ยวกับตึกสูงทั่วโลก
http://www.emporis.com

ที่มีการประกาศ รางวัล ทุกปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 10 (ปี 2009)

เกณฑ์การให้คะแนนก็มาจาก

สร้างด้วยสถาปัตยกรรมล้ำหน้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การออกแบบ ดีไซต์ เสน่ห์ของตึก ความสวยงาม ความกลมกลืน ความแปลก ความกลมกลืนธรรมชาติ และแตกต่าง เป็นต้น

คิดว่าเพื่อนๆ คงจะรอดูแน่ๆ ว่า มีของไทยบ้างไหมหนอ
มาดูกันเลยดีกว่า ว่า ตึกไหนบ้าง...อยู่เมืองอะไร ประเทศไหน
ที่ได้รับรางวัลนี้ ...

http://www.facebook.com/thepowermancity

10 อันดับตึกยอดเยี่ยมของโลก ปี 2009
อันดับ 10 William Beaver House ,New York City,USA
(คะแนนที่ได้รับ 10 แต้ม)




ชื่ออย่างเป็นทางการ William Beaver House
ที่ตั้ง Alternative name15 William Street

ตึก นี้ ถูกออกแบบเป็นที่พักอาศัย ในย่านแมนฮัตตัน ด้วยความสูง 159 เมตร 44 ชั้น จุดเด่นของตึกนี้ คือ การใช้ โทนสีเหลือง ในการตกแต่ง มองจากในรูปจะเห็นได้ว่า ใช้สีเหลืองตกแต่งได้สวยงามมาก


----------------
อันดับ 9 Millennium Tower ,San Francisco,USA
(คะแนนที่ไ้ด้รับ 13 แต้ม)






ชื่ออย่างเป็นทางการ - Millennium Tower
ที่ตั้ง - 301-315 Mission Street

ตึก นี้ตั้งอยู่ในย่านMission Street ของ เมืองซานฟรานซิสโก เปิดให้คนเข้าอยู่อาศัย วันที่ 23 เมษายน 2009 ด้วยความสูง 196 เมตร จำนวน 58 ชั้น ค่าก่อสร้าง 350 ล้านดอร์ล่าสหรัฐ Millennium Tower (San Francisco) ได้รับรางวัลตึกยอดเยี่มจากหลาย สถาบัน

* 2008: American Concrete Institute Awards, Northern California – Construction
* 2008: Concrete Industry Board – Roger H. CIB Award of Merit
* 2009: American Society of Civil Engineers, Region 9 – Structural Engineering Project of the Year
* 2008: American Society of Civil Engineers, San Francisco Section – Outstanding Structural Engineering Project
* 2009: Metal Architecture Magazine – April 2009 edition Top Honor
* 2009: California Construction – Outstanding Project Management
* 2009: California Construction – Multi-family/Residential, Award of Merit


--------------------------
อันดับ 8 Almas Tower ,Dubai, UAE
(คะแนนที่ได้รับ 16 แต้ม)






ชื่ออย่างเป็นทางการ - Almas Tower
ที่ตั้ง - ย่าน Jumeirah Lake Towers

อัล มาสทาวเวอร์ ( หอคอยเพชร) เป็นตึกระฟ้าแห่งหนึ่งในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี ค.ศ. 2005 และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2009 ตึกแห่งนี้มีความสูงทั้งสิ้น 363.07 เมตร (1,191 ฟุต) มีจำนวนชั้น 74 ชั้น แบ่งออกเป็นชั้นเหนือพื้นดิน 69 ชั้น ชั้นใต้ดินอีก 5 ชั้น ซึ่งใน 70 ชั้นใช้งานเชิงพาณิชย์และ 4 ชั้นใช้งานเกี่ยวกับการบริการ และในปี ค.ศ. 2008 ได้กลายเป็นตึกที่มีความสูงเป็นอันดับ 2 ของเมืองดูไบ รองจากบูร์จคาลิฟา

----------------------------------------
อันดับ 7 Bank of America Tower ,New York City,USA
(คะแนนที่ได้ีรับ 32 แต้ม)









แบงค์ ออฟอเมริกาทาวเวอร์ (อังกฤษ: Bank of America Tower at One Bryant Park) เป็นตึกระฟ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก มีความสูง 366 เมตร (1,200 ฟุต) ตั้งอยู่ที่อเวนิว 6 ระหว่างสตรีต 42 และสตรีต 43 ตรงข้ามกับสวนสาธารณะไบรอัน ท์ ตึกนี้มีความสูงเป็นอันดับที่ 2 ของนครนิวยอร์ก รองจากตึกเอ็มไพร์สเตต และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐอเมริกา ตึกนี้ถูกออกแบบโดย Cook+Fox Architects และ Gensler ก่อสร้างถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2007 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2009
และชื่ออาคารตั้งตามเจ้าของซึ่งคือ ธนาคารแห่งอเมริกา

ยอด แหลมของแบงค์ออ ฟอเมริกาทาวเวอร์มีความสูง 77.9 เมตร (255.5 ฟุต) ตึกมีจำนวนชั้นทั้งหมด 58 ชั้น แบ่งเป็นสำนักงานตั้งแต่ชั้นที่ 1-51 มีพื้นที่ใช้สอย 195,000 ตร.ม. (2,100,000 ตร.ฟุต) และที่เหลือเป็นห้องควบคุมระบบและชั้นส่วนตัวอีก 7 ชั้น มีลิฟต์ทั้งหมด 53 ตัว 52 ตัวใช้บริการทั่วไปและหนึ่งตัวลงไปถึงชั้นลอยที่ไว้ใช้ขนส่ง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าพื้นดิน

------------------------------------------
อันดับ 6 The Red Apple ,Rotterdam, Netherlands
(คะแนนที่ได้รับ 34 แต้ม)







Almas TowerThe Red Apple เป็น อาคารที่อยู่อาศัย บนเกาะ Wijnhaven ใน เมือง Rotterdam ประเทศNetherlands อาคารนี้แล้วเสร็จใน2009.
Red Apple เป็นอาคารที่อยู่อาศัย ที่เรียกว่า "Kopblok"
มีความสูง 128 เมตร สูง และ มี 40 ชั้น (152 ห้อง).
Red Apple ได้ รับ การ ออกแบบ โดย KCAP โดยจุดเด่นของอาคารนี้ นี้การใช้โทนสีแดงที่ตกแต่งสวยงาม


----------------------------------------------
อันดับ 5 Trump International Hotel & Tower ,Chicago, USA
(คะแนนที่ได้รับ 36 แต้ม)






ทรัมพ์ อินเตอร์เนชันแนลโฮเต็ลแอนด์ทาวเวอร์ (อังกฤษ: Trump International Hotel and Tower รู้จักกันในชื่อ Trump Tower Chicago หรือ Trump Tower) เป็นตึกระฟ้าใจกลางเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ตั้งชื่อตามนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ เอเดรียน สมิธ ของสกิดมอร์ โอววิงส์แอนด์เมอร์ริลล์ ส่วนโบวิสเลนด์ลิส ก่อสร้างอาคาร 96 ชั้น ซึ่งมีความสูง 1,362 ฟุต (415.1 เมตร) รวมทั้งยอดแหลม ชั้นที่สูงที่สุดสูง 1,170 ฟุต (360 เมตร) ตึกตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำชิคาโก

องค์กรทรัมพ์ได้ประกาศในปี พ.ศ. 2544 ว่าตึกนี้จะเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก แต่หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ก็ได้เปลี่ยนแปลนตึกให้เล็กลง และได้แก้ไขแบบหลายจุด เมื่ออาคารได้สร้างถึงยอดในปี พ.ศ. 2552 ได้กลายเป็นตึกที่สูงที่สุดอันดับที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา รองจากวิลลิสทาวเวอร์ที่ตั้งอยู่ในชิคาโกเช่นเดียว กัน

ตึกนี้คาดว่า จะถูกแซงโดยวันเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์กเมื่อถึงกลางปี พ.ศ. 2556 และโดยตึกชิคาโกสไพร์ถ้าสร้าง แล้วเสร็จ ทรัมพ์อินเตอร์เนชันแนลโฮเต็ลแอนด์ทาวเวอร์ยังเป็นอาคารที่พักอยู่อาศัยที่ สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

รูปแบบของอาคารตั้งแต่ฐาน มีร้านขายปลีก ที่จอดรถ โรงแรม และคอนโดมิเนียม ซึ่งโรงแรมได้เปิดให้พักได้ในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551 และเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551 ก็ได้เปิดทำการทั้งหมด ร้านอาหารตั้งอยู่ที่ชั้น 16 ของตึก เรียกว่า ซิกซ์ทีน (Sixteen) เปิดเมื่อต้นปี 2551 และได้รับการชื่นชมจากผู้ใช้บริการสำหรับอาหาร ที่ตั้ง การตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้[13] ตึกนี้สร้างถึงชั้นสูงสุดเมื่อปลายปี 2551 และการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2552

----------------------------------
อันดับ 4 Torres de Hércules ,Los Barrios,Spain
(คะแนนที่ได้รับ 38 แต้ม)




[img]http://image.ohozaa.com/i7/torresdeh233rculeslosbarriosspain03.jpg[/img


Torres de Hércules เป็น อาคารที่อยู่อาศัย ในเมือง Los Barrios ประเทศ Spain อาคารนี้แล้วเสร็จใน2009
Torres de Hércules มีความสูง 100 เมตร และ มี 21 ชั้น
Torres de Hércules ได้ รับ การ ออกแบบ สถาปัตยกรรมสเปน อย่างสวยงาม

-----------------------------------
อันดับ 3 The Met ,Bangkok,Thailand
เหรียญทองแดง
(คะแนนที่ได้รับ 43 แต้ม)











เด อะเม็ท (อังกฤษ: The Met) เป็นอาคารที่พักอาศัย ตั้งอยู่บนถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร มีความสูง 228 เมตร หรือ สูง 69 ชั้น มีเนื้อที่โครงการ 7 ไร่ 40 ตารางวา มีประเภทของห้องคือ 2-4 ห้องนอน, Duplex และ Penthouse เนื้อที่ 456 ตารางเมตร ค่าก่อสร้าง 4 ,620 ล้านบาท และราคาห้องพักต่อ 1 ห้องอยู่ที่ราคาประมาณ 25 ล้านบาท

ตึกเดอะเม็ท เป็นของบริษัท Pebble Bay Company Limited-Hotel Properties Limited สถาปนิกออกแบบโดย WOHA Limited+Tandem Architects ตามแผนการก่อสร้างเดิม เริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552

คอนเซ็ปต์ ของโครงการ เดอะเม็ท คือ “การพักอาศัยบนอาคารสูงในเขตเมืองร้อน” มีการออกแบบที่ทันสมัย โดยคำนึงถึงเรื่องการไหลเวียนของอากาศ นอกจากนี้ โครงการ เดอะ เม็ท ยังให้ความเป็นส่วนตัวสูง โดยแต่ละยูนิตจะมีโถงลิฟท์ส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูครบครันถึง 3 ชั้น รวมถึงสระว่ายน้ำขนาด 50 เมตร สนามเทนนิส และสกาย เทอเรส บนชั้นที่ 28 และ 47 ซึ่งสามารถชมทัศนียภาพอันสวยงามของกรุงเทพฯ

ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงสร้างหลักของอาคารซึ่งสูง 66 ชั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว การติดตั้งลิฟท์โดยสารความเร็วสูงจำนวน 22 ตัว การตกแต่งสวนบนอาคาร รวมทั้งการตกแต่งผนังอาคารภายนอกด้วยวัสดุอะลูมิเนียมแคลดดิ้ง ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน


----------------------------------------
อันดับ 2 0-14 ,Dubai,UAE
เหรียญเงิน
(คะแนนที่ได้รับ 61 แต้ม)







O14 หรือ O-14 เป็น ตึกสำนักงาน ตั้ง อยู่ ใน อ่าวใรย่านธุรกิจ ใน เมือ' ดูไบ ประเทศสหรัฐ อาหรับ Emirates. ความสูง102 m (335 ft) มี 23 ชั้น.
อาคารมีขนาด 300,000 ft. ตร.ม.
ใน พื้นที่ 1 เมตร ระหว่าง ช่องว่างและหน้าต่างของตึก มีช่องช่วยให้รับลมและระบายอากาศ รวมไปถึงระบายความร้อน แกนด้านหน้าของตึกเป็นสีขาว มีขนาดหนา 40 ซม. ทำจากคอนกรีตเหลวมาก มี ช่องวงกลม1,000 วงกลม ตึก 014 ออกแบบและก่อสร้างโดย Reiser + Umemoto RUR Architecture P.C


----------------------------------

อันดับ 1 Aqua ,Chicago,USA
เหรียญทอง
(คะแนนที่ได้รับ 86 แต้ม)










Aqua เป็นตึกสูงที่อยู่อาศัยภายใต้การ ก่อสร้างใน การพัฒนา Lakeshore East ใน เมือง Chicago.
มีความสูง 250 ม. 819 ฟุต มีทั้งหมด 82 ชั้น ชั้นใต้ดิน 5 ชั้นสำหรับจอดรถ
มีพื้นที่ 140,000 ตาราง ฟุต (13,000 m 2 ) ห้องพัก 1 ห้องในตึกนี้ประกอบไปด้วย ระเบียง, พร้อมสวน, gazebos, สระ เป็นต้น

สถาปัตยกรรม
Aqua ได้ รับ การ ออกแบบ โดย Gang Jeanne, ผู้ก่อตั้ง สถาปนิกGangสตูดิโอ การออกแบบ ถูกออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ มากที่สุด และ เป็นโครงการตึกสูง ครั้งแรกของเขา ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดที่เคยได้รับรางวัล

อา ควา" โรงแรมและอาคารที่พักอาศัย ขนาด 81 ชั้น สูง 249.7เมตร ใกล้ทะเลสาบมิชิแกนในนครชิคาโกของสหรัฐอเมริกา คว้ารางวัล "เอ็มโพริส อะวอร์ด ครั้งที่10" ในฐานะอาคารสูงยอดเยี่ยมประจำปี 2552 สร้างด้วยสถาปัตยกรรมล้ำหน้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม