วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พัฒนาการของแผนที่



แผนที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันล้วนมีมากมายหลายแบบ ทั้งแผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศ แผนที่แสดงลักษณะภูมิอากาศ แผนที่แสดงทรัพยากรธรรมชาติ แผนที่โลก หรือแม้แต่แผนที่แสดงข้อมูลเฉพาะอย่างแผนที่แสดงเส้นทางการเดินเรือ การเดินรถ แผนที่เมือง แผนที่แสดงเส้นทางคมนาคม แผนที่ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งความสามารถในการทำแผนที่ของมนุษย์นี้ได้มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นความสามารถที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ ดังจะเห็นได้จาก ชาวเอสกิโม ซึ่งอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่เห็นลักษณะภูมิประเทศที่ตนอยู่อาศัย แต่ก็สามารถทำแผนที่นูนสูงด้วยการแกะสลักไม้แล้วนำไปติดบนแผ่นหนังแมวน้ำ โดยอาศัยจากความทรงจำที่เห็นระหว่างออกไปล่าสัตว์มาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ชาวอัสซีเรียน บาบิโลเนียน อียิปต์ อะบอริจินิส ก็สามารถวาดแผนที่ได้เอง แต่ไม่หลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันเพราะความเสียหายจากการใช้งานอย่างหนัก

แผนที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ คือ ผังเมืองบนกำแพงเมืองโบราณ Catal Hyuk ที่กรุงอังการา ประเทศตุรกี มีอายุ 6,200 ปีก่อนคริสตกาล รองลงมาเป็นแผนที่แสดงพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีแม่น้ำไหลผ่านของชาวเมโสโปเตเมีย พบที่ประเทศอิรัก อายุประมาณ 2,500-3,800 ปีก่อนคริสตกาล อันดับที่3 คือ แผนที่เมืองตูริน เขียนบนกระดาษปาปิรุส อายุ 1,300 ปีก่อนคริสตกาล แต่ถ้าเป็นแผนที่โลกฉบับแรก วาดขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน เขียนบนแผ่นดินเหนียว อายุ 600 ปีก่อนคริสตกาล  ในทวีปเอเชีย ชาวเปอร์เซีย อินเดีย และจีนก็สามารถวาดแผนที่ได้เอง โดยแผนที่จีนได้ชื่อว่ามีความถูกต้อง ให้รายละเอียดมากและก้าวหน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับแผนที่ของชาติอื่นๆในสมัยเดียวกัน ส่วนแผนที่ที่ได้ชื่อว่ามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในสมัยโบราณ คือ แผนที่ของกรีก ชาวกรีกค้นพบว่าแท้ที่จริงโลกไม่ได้แบนอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นทรงกลม นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกชื่อ เอราทอสเทเนส ได้คิดค้นวิธีวัดขนาดโลก การระบุตำแหน่งขั้วโลกทั้งสอง เส้นทรอปิก เส้นศูนย์สูตร และเส้นเมอ ริเดียนแบ่งเป็นองศาอย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ครั้นใน ค.ศ. 150 คลอเดียส ปโตเลมี นักทำแผนที่ชื่อดังแห่งอเล็กซานเดรีย ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งแผนที่ของเขาได้มีอิทธิพลต่อนักทำแผนที่ยุคไบแซนไทน์กับยุคกลาง เมื่อเข้าสู่ยุคกลาง ความเชื่อทางศาสนาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการทำแผนที่ โดยมีการวาดดินแดนในแผนที่ให้ดูสมมาตรตามความเชื่อที่ว่าด้วยความสมบูรณ์แบบของพระเจ้า และในปลายสมัยกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 13 ) นักทำแผนที่ได้วาดแผนที่จากการสำรวจด้วยเข็มทิศอย่างเป็นระบบ จึงทำให้แผนที่ค่อนข้างมีความถูกต้อง ซึ่งแผนที่ดังกล่าวได้มีอิทธิพลต่อแผนที่ในยุคเรอเนซองซ์ ยุคแห่งการสำรวจและการค้นพบและเป็นยุคแห่งการพิมพ์ ได้มีการพิมพ์แผนที่โบราณหายากออกมาเผยแพร่ต่อสายตาของสาธารณชน
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จัดได้ว่าเป็นยุคทองของแผนที่ ได้มีการวาดแผนที่ให้สวยงาม มีการจัดวางตำแหน่งข้อมูลให้เป็นระบบมากขึ้น โดยแผนที่จากเนเธอร์แลนด์ได้รับการยกย่องว่าเป็นแผนที่ที่มีความสวยงามมากที่สุด และจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา นอกจากแผนที่แล้วยังได้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆในการจำลองลักษณะที่ตั้งของประเทศต่างๆในโลกเข้ามาช่วยในการสร้างแผนที่ เช่น ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียม ลูกโลกจำลอง เครื่องจีพีเอส ซึ่งแสดงข้อมูลที่ปรากฏบนพื้นผิวโลกโดยไม่ต้องเข้าไปสำรวจสภาพพื้นที่จริง เป็นต้น ซึ่งทำให้แผนที่ที่สร้างจากข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมและโปรแกรมคอมพิวเตอร์เหล่านี้มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=905640

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น