วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มารู้จักกับ อาคารสีเขียว หรือ GREEN BUILDING กัน

อาคารสีเขียวเพื่อสภาวะแวดล้อมการประหยัดพลังงาน GREEN BUILDING มีการกล่าวถึงมานานในต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา เนื่องจากมีสถาปนิกได้ตระหนักว่าการก่อสร้างอาคารได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องการออกแบบอาคารให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆมาใช้
และในปี 1999 ที่อเมริกา ได้มีการจัดตั้งกลุ่ม WORLD GREEN BUILDING COUNCIL ขึ้น มีสมาชิกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และให้คำนิยามของ GREEN BUILDING ว่าเป็นอาคารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ประหยัดพลังงานใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ตัวอาคารใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อมให้มากที่สุด
จากการตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวบวกกับกระแสความคิดในการออกแบบของสถาปนิกรุ่นใหม่ทำให้เกิด GREEN BUILDING อย่างมากมายทั่วโลก คาดว่าในอี 20 ปีข้างหน้า เฉพาะในจีนจากมี GREEN BUILDING กว่า50,000 อาคาร งั้นลองมาชมผลงาน 10 อาคาร ที่มีความสาวยงามบวกกับแนวคิดแบบ GREEN BUILDING ได้อย่างลงตัว



1. DYNAMIC TOWER
ตึกนี้อยู่ที่ดูไบนะค่ะ ตึกสูงระฟ้าที่เคลื่อนไหวได้ ออกแบบโดย Dr.David Fischer มีความสูง 420 ม. โดยหมุนได้ 80 ชั้น ผลิตพลังงานจากกังหันลมที่มีทุกชั้นได้ เก๋มั้ยหล่ะ



2.WORLD TRADE CENTER TOWER
อยู่ที่บาเรนค่ะ ออกแบบโดย Shaun Killa ดูให้ดี กังหันลมสามอันที่ติดตั้งได้ผลิตไฟฟ้าให้อาคารได้ด้วยนะค่ะ

3.The Pearl River Tower
แน่นอนค่ะตั้งอยู่ที่จีน ออกแบบโดยชาวอเมริ Gorden Gill โครงสร้างคล้ายปีกขนาดใหญ่ ซึ่งมีกรวยล
มอย่ภายในอุโมงค์เพื่อนำลมมาผลิตเป็นไฟฟ้า
4.Bank of America Tower
ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก อเมริกาค่ะ ตึกนี้มีดีตรงที่ใช้วัสดุRecycled ในการก่อสร้าง ใช้ก๊าชธรรมชาติมาผลิตเป็นไฟฟ้าในตึกค่ะ
5.Okhta Tower
ออกแบบโดยสำนักงาน UK RMJM OKHTA TOWER ผิวของตึกที่คล้ายเข็มถูกออกแบบให้ขยายพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งผ่านการทะลุจากภายในอาคาร โดยสามารถเก็บพลังงานความร้อนมาใช้ได้ โดยจะสร้างความอบอุ่นได้เมื่ออากาศเย็น 6.The light house tower มันคือศุนย์กลางทางการเงินของดูไบค่ะ ผิวหน้าของอาคารติดตั้ง solar panel 400 ชิ้น รวมทั้งกังหันลมขนาดใหญ่ จำนวน 3 อัน ออกแบบโดย Atkins Middle East ค่ะ7.340 on the park
อยู่ในชิคาโก อเมริกาค่ะ เป็นตึกแรกที่ได้รับมาตราฐานในการประเมินสิ่งแวดล้อมของอเมริกา ออกแบบโดย Solomon Cordwell Buenz ค่ะ

8. CIS Tower
อยู่ที่แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษค่ะ เป็นอาคารขององค์กรการประกันพลังงานแสงอาทิตย์ มีแผง solar 7000 แผง และกังหันลม 24 อัน โดยนำไปติดกับตุกเก่าที่มีอยู่แล้วค่ะ



9. The hearst Tower
เป็นอาคารแรกของนิวยอร์ค ที่ได้รับ LEED โดยเกือบ 80% เป็นการนำเอาวัสดุที่ใช้แล้วมาทำใหม่ค่ะ





10.Gwanggyo
งานออกแบบที่มีลักษณะเฉพาะเหมือนภาพวาด เป็นผลงานออกแบบของบริษัทออกแบบของฮอลแลนด์ โครงการตั้งอยู่ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ลักษณะเหมือนเนินเขา เหมือนกับภูมิประเทศที่ตั้งค่ะ

10 อันดับ 'มหาธรณีพิบัติ' ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

ภัยพิบัติทางธรรมชาติบนโลกนี้มีหลายประเภท ทั้งอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย แต่ที่ร้ายแรงและสร้างความเสียหายมากที่สุดนั้น เห็นจะเป็นเหตุ ''ธรณีพิบัติ'' หรือแผ่นดินไหว นับจากอดีตกาล แผ่นดินไหวเคยเกิดขึ้นมาบนโลกนี้นับครั้งไม่ถ้วน สร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อโลกมากมาย ทั้งยังไม่อาจทำนายได้ว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใดอีกด้วย...

นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา จึงกำหนดเกณฑ์การวัดขนาดของแผ่นดินไหว เพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งระดับความรุนแรง และคาดการณ์ความเสียหาย รวมถึงผลที่อาจตามมาจากแผ่นดินไหวไว้หลายรูปแบบ ทั้งมาตราริกเตอร์ มาตราแคลลี และที่ใช้มากที่สุดในปัจจุบัน คือ มาตราระดับแมคนิจูด และบันทึกเก็บไว้เป็นสถิติ โดยแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด 10 อันดับ ที่มนุษยชาติเคยพบเจอ มีดังนี้

อันดับที่ 10
แผ่นดินไหวที่เมือง บัลปาไรโซ ประเทศชิลี ปี 1730

ภาพวาด เมืองบัลปาไรโซ ปี 1730

เกิดเมื่อเวลา 04.45 น. ของวันที่ 8 ก.ค. 1730 มีขนาดแรงสั่นสะเทือนที่ระดับ 9.0 ก่อนปรับลดลงมาเหลือ 8.75 ในภายหลัง แผ่นดินไหวครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงถึง 16 ม. ตลอดแนวชายฝั่งของประเทศชิลี กินระยะทางกว่า 1,000 กม. จนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในพื้นที่ตอนล่างของเมืองบัลปาไรโซ เมืองท่าสำคัญ(ในปัจจุบัน)ของประเทศชิลี นอกจากนี้ คลื่นสึนามิยังเดินทางไปถึงเมืองคัลเลาของประเทศเปรู และทำให้เกิดน้ำท่วมที่จังหวัดริคุเซน และคาบสมุทรโอชิคะ ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย


จุดเกิดแผ่นดินไหว

ในด้านของความเสียหาย สิ่งก่อสร้างในเมืองบัลปาไรโซ โคควิมโบ อิลลาเปล เปตอร์กา และเมืองทิลทิล ของชิลี ล้วนได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น เนื่องจากเกิดฟอร์ช็อก (แผ่นดินไหวที่เกิดก่อนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่) ขึ้นมาก่อน ทำให้ประชาชนหนีออกมาจากอาคารที่พักอาศัยได้เร็ว ทำให้รอดพ้นจากการถล่มของอาคาร รวมถึงประชาชนยังเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำทะเลที่ลดต่ำลงมาก จึงพากันหลบหนีขึ้นสู่ที่สูง และรอดพ้นจากคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้

อันดับที่ 9
แผ่นดินไหวที่เขตมุดตัวของเปลือกโลกคาสคาเดีย สหรัฐอเมริกา ปี 1700


ภาพจำลองสึนามิที่เกิดขึ้น

จากหลักฐานที่ผู้เชี่ยวชาญได้มา ทำให้เชื่อว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 26 ม.ค. ปี 1700 ที่แนวเขตมุดตัวของเปลือกโลกคาสคาเดีย ของสหรัฐอเมริกา วัดขนาดของแผ่นดินไหว ได้ที่ 8.7-9.2 แผ่นดินไหวในครั้งนี้เกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิก และแผ่นฮวน เด ฟูกา แยกออกจากกันเป็นแนวยาวกว่า 1,000 กม. หรือเทียบเท่ากับระยะจากพื้นที่ตอนกลางของเกาะแวนคูเวอร์ของแคนาดาขึ้นไป จนถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้แผ่นฮวน เด ฟูกา เคลื่อนมุดลงไปใต้แผ่นอเมริกาเหนือถึง 20 เมตร จนเกิดเป็นแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ สึนามิ ซึ่งเดินทางไปถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย


ภาพจำลองการเกิดแผ่นดินไหว

อย่างไรก็ดี ในอดีตไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวครั้งนี้ไว้มากนัก รวมถึงผลกระทบของคลื่นสึนามิที่มีต่อภูมิภาคอื่นที่ได้รับผลกระทบ โดยหลักฐานที่ว่าเคยเกิดแผ่นดินไหว และเกิดคลื่นสึนามิถึงประเทศญี่ปุ่นนั้น มาจากการศึกษาทฤษฎีกาลานุกรมต้นไม้ หรือการหาอายุ ด้วยการวิเคราะห์วงการเติบโตของต้นไม้ และพบว่า วงเติบโตวงสุดท้ายของของต้นไม้ที่ตายตามแนวป่าชายฝั่ง ซึ่งอยู่ในเขต ได้รับผลกระทบของสึนามิ ล้วนเกิดขึ้นในปี 1699

อันดับที่ 8
แผ่นดินไหวที่ชิลี ปี 2010


ชิลี 2010

อีกหนึ่งแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดของประเทศเทศชิลี เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2010 เมื่อเวลา 03.34 น. ตามเวลาของชิลี วัดขนาดความรุนแรงได้ที่ระดับ 8.8 ที่ความลึก 35 กม. และอยู่ห่างจากชายฝั่งประเทศชิลีเพียง 3 กม. แผ่นดินไหวครั้งนี้สั่นสะเทือนอยู่นานกว่า 3 นาที โดยประชาชนชาวชิลีกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ รวมถึงในบางพื้นที่ของประเทศอาร์เจนตินา อย่างกรุงบัวโนสไอเรส หรือเมืองคอร์โดบา รวมถึงที่เมืองไอคาทางตอนใต้ของประเทศเปรูด้วย




แผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มตามแนวชายฝั่งทางใต้ของชิลี มีการเตือนภัยแผ่นดินไหวใน 53 ประเทศ ขณะที่คลื่นยักษ์ได้สร้างความเสียหายแก่การประมงของญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 66.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนความเสียหายในประเทศชิลี ซึ่งเป็นจุดเกิดแผ่นดินไหว เกิดเหตุไฟฟ้าดับขึ้นในพื้นที่กว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ จนรัฐบาลต้องประกาศเป็นภาวะสถานการณ์ฉุกเฉิน และส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยเหลือยังพื้นที่ประสบภัย

จากข้อมูลของสำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติของชิลี ระบุว่า มีบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติในครั้งนี้กว่า 3.7 แสนหลัง มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 525 ราย ขณะที่ยังมีผู้สูญหายอีก 25 คน

อันดับที่ 7
แผ่นดินไหวที่เอกวาดอร์-โคลอมเบีย ปี 1906


เอกวาดอร์-โคลอมเบีย ปี 1906

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ปี 1906 ที่บริเวณนอกชายฝั่งของประเทศเอกวาดอร์ ใกล้กับเมืองเอสเมอรัลดาส์ สามารถวัดแรงสั่นสะเทือนได้ที่ระดับ 8.8 โดยต้นตอของแผ่นดินไหวในครั้งน้ี เกิดจากการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกแนซกา เข้าสู่แผ่นอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นผลมาจากการดันตัวของเปลือกโลก

ในส่วนของความเสียหาย ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหวโดยตรง หากแต่เป็นคลื่นยักษ์สึนามิ ที่ก่อตัวจนมีความสูงกว่า 5 เมตร ซัดเข้าสู่พื้นที่เมือง ริโอ เวอร์ดี ของเอกวาดอร์ และที่เมืองไมคาย ของโคลอมเบีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 ถึง 1,500 ราย





อันดับที่ 6
แผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ปี 1833

จุดเกิดแผ่นดินไหว

ในวันที่ 25 พ.ย. ปี 1833 เวลาประมาณ 22.00 น. ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นที่นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ที่ 8.8-9.2 เนื่องจากข้อมูลไม่ชัดเจน แต่จากหลักฐานทางธรรมชาติจากเกาะวงแหวนปะการัง (แอทอล:atoll) ทำให้สรุปได้ว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นจริง

ที่เมืองเบงกูลู สามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนนานถึง 5 นาที ขณะที่เมืองปาดัง รู้สึกได้นาน 3 นาที โดยจากหลักฐานที่รวบรวมมา ชี้ว่าเกิดแผ่นดินแยกขนาดใหญ่ขึ้นในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ขณะที่ข้อมูลความเสียหายอื่นๆ เช่น ความเสียหายของสิ่งก่อสร้าง หรือจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ ทราบแต่ว่ามีความเสียหายจำนวนมหาศาลเท่านั้น

อันดับที่ 5
แผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโตโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น ปี 2011


สึนามิที่ญี่ปุ่น

แผ่นดินไหว ซึ่งถือว่าสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศญี่ปุ่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากจะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ระดับ 9.0 แล้ว ยังต้องเจอกับคลื่นยักษ์สึนามิ ที่มีความสูงกว่า 40.5 ม. เข้าเล่นงานในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกอีก โดยคลื่นซัดขึ้นมาบนชายฝั่งเป็นระยะทางกว่า 10 กม. สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล อันนำไปสู่เหตุเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิจิ ที่ยังแก้ปัญหาไม่ตกมาจนถึงปัจจุบัน


โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิจิ

ความเสียหายจากทั้งแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ และวิกฤตการณ์กัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ที่ประดังเข้ามาพร้อมกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น จำนวน 15,842 ราย บาดเจ็บ 5,890 คน และสูญหายกว่า 3,485 ชีวิต บ้านเรือนพังเสียหาย หรือพังทลายกว่า 1.25 แสนอาคาร

ธนาคารโลกประเมินค่าความเสียหายจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ที่ 2.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.35 ล้านล้านบาท) ทำให้เหตุการณ์นี้เป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ามากที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้ แต่ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ แผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้เกาะฮอนชูของญี่ปุ่น เคลื่อนตัวไปทางตะวันออก ประมาณ 2.4 ม. และยังส่งผลให้แกนโลกเปลี่ยนไปจากเดิมถึง 10-25 ซม. อีกด้วย


จังหวัดอิวาเตะ



อันดับที่ 4
แผ่นดินไหวที่คาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย ปี 1952



เกิดเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ปี 1952 เวลา 04.58 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย โดยจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ทะเลราว 30 กม. วัดขนาดความสั่นสะเทือนได้ที่ 8.2 ก่อนที่จะปรับเป็น 9.0 ในปีต่อมา สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ในภูมิภาคคัมชัตกา และเกาะคูริล

คลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ มีความสูงกว่า 9 ม. และเดินทางไปถึงรัฐฮาวายของอเมริกา สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ในขณะนั้น) ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่รายเดียว นอกจากนี้ยังเคลื่อนตัวไปถึงรัฐอะลาสกา ชิลี นิวซีแลนด์อีกด้วย


จุดเกิดแผ่นดินไหวรัสเซีย



อันดับที่ 3
แผ่นดินไหวที่มหาสมุทรอินเดีย ปี 2004



หรือที่ชาวไทยรู้จักกันในชื่อแผ่นดินไหวในทะเลอันดามันที่เกาะสุมาตรา เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. พ.ศ. 2549 ซึ่งก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าใส่พื้นที่ภาคใต้ของไทย และสร้างความเสียหายอย่างมาก นับเป็นเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ประชาชนคนไทยไม่มีวันลืม

แผ่นดินไหวมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ ชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดขนาดของแผ่นดินไหวได้ที่ระดับ 9.1-9.3 ที่ความลึกราว 30 กม. และสั่นไหวต่อเนื่องนานถึง 8-10 นาที ด้วยความรุนแรงขนาดนี้ ทำให้แผ่นดินบนโลก เคลื่อนตัวไปจากจุดเดิมถึง 1 ซม. และยังก่อให้เกิดแผ่นดินไหวอื่นๆตามมาในหลายๆแห่งทั่วโลก




สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ(ยูเอสจีเอส) เผยว่า ยอดผู้เสียชีวิต(ที่ได้รับการยืนยัน)ทั้งหมด จากแผ่นดินไหวและสึนามิในครั้งนี้ ทั้งสิ้น 227,898 ราย โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด มีผู้เสียชีวิตถึง 1.7 แสนราย และสึนามิยังสร้างความเสียหายตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา ที่ห่างออกไปกว่า 8 พัน กม.ด้วย ขณะที่ไทยเองก็มีผู้เสียชีวิต(ตามรายงานของยูเอสจีเอส) ถึง 8,212 ราย

หลังจากเกิดเหตุ นานาประเทศ ทั้งออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐฯและอื่นๆ ต่างระดมเงิน เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประเทศที่ได้รับความเสียหายจากหายนะครั้งนี้ โดยระดมทุนได้ถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ในขณะนั้น)ทีเดียว


ประเทศที่ได้รับผลกระทบ(สีเหลือง)



อันดับที่ 2
แผ่นดินไหวที่อะลาสกา สหรัฐอเมริกา ปี 1964



หรืออีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักคือ แผ่นดินไหววันกูดฟรายเดย์(วันศุกร์ก่อนวันอีสเตอร์) เกิดเมื่อเวลา 05.36 น. ของวันที่ 27 มี.ค. 1964 บริเวณตอนใต้ของรัฐอะลาสกา มีความลึกเพียง 14 กม. วัดระดับการสั่นสะเทือนได้ที่ระดับ 9.2 และสั่นสะเทือนอยู่นานเกือบ 4 นาที นับเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯและทวีปอเมริกาเหนือทีเดียว

มหันตภัยครั้งนี้ ทำให้อาคารส่วนใหญ่ในพื้นที่ตอนล่างของรัฐอะลาสกาพังทลายไม่เหลือ ซ้ำยังเกิดแผ่นดินแยกและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่เขตปกครองตนเองแองเคอเรจ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งอาคาร สิ่งก่อสร้าง ถนน ท่อประปา ท่อระบายน้ำ ระบบไฟฟ้า ล้วนพังเสียหายทั้งหมด




จากการประเมินของสหรัฐฯ ความเสียหายครั้งนี้คิดเป็นมูลค่ากว่า 310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(หรือเท่ากับ 2.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน) อย่างไรก็ดี มีรายงานผู้เสียชีวิตเพียงแค่ 143 รายเท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมาก หากเทียบกับความพินาศที่เกิดขึ้น

อันดับที่ 1
แผ่นดินไหวที่บัลดิเบีย ประเทศชิลี ปี 1960




และแล้วก็มาถึงแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เท่ามีเคยมาการบันทึกสถิติเป็นต้นมา หายนะในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 1960 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลูมาโค ของจังหวัดมอลเลโค ที่ความลึก 33 กม. วัดขนาดของแผ่นดินไหวได้ที่ระดับ 9.5 (สูงสุดคือ 10.0) ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงถึง 25 ม. เคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงมลรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ซึ่งห่างจากจุดเกิดเเผ่นดินไหว ถึง 1 หมื่น กม. โดยคลื่นยังคงสูงอยู่ที่ระดับ 10.7 ม.

อาณาเขตการทำลายล้างของแผ่นดินไหว กินพื้นที่ถึง 4 แสน ตร.กม. โดยบัลดิเบีย เมืองหลวงของชิลีในขณะนั้น เป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด อาคารบ้านเรือนกว่า 40 เปอร์เซ็นต์พังทลาย ขณะที่สิ่งก่อสร้างที่ทำจากคอนกรีตเกือบทั้งหมดได้รับความเสียหาย ทำให้ประชาชนกว่า 2 หมื่นชีวิต กลายเป็นผู้ไร้บ้าน




ไม่เพียงเท่านี้ แผ่นดินไหวยังทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 ม. จนเกิดน้ำท่วมหนักกระทบผู้คนราวหนึ่งแสนราย และยังเป็นการกระตุ้นให้ภูเขาไฟคอร์ดัน เคาเล ระเบิดในวันที่ 24 พ.ค. พ่นเถ้าภูเขาไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า สูงกว่า 5.5 กม. และปะทุต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงวันที่ 22 ก.ค. แต่เคราะห์ดี ที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

จำนวนผู้เสียชีวิต และมูลค่าความเสียหาย ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด เนื่องจากในยุคนี้ยังไม่มีการกระจายข่าวสารเรื่องของภัยพิบัติ แต่ยูเอสจีเอส ออกมาระบุผลการวิเคราะห์ว่า น่าจะมีผู้เสียชีวิตราว 2,231-6,000 ราย ส่วนในด้านมูลค่าความเสียหายเนื่องจากข้อมูลที่ได้มาไม่ตรงกัน จึงกำหนดขอบเขตไว้คร่าวๆ ที่ 400 ล้าน-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.9 พันล้าน-5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน)

ทั้งหมดคือแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยพบมา จริงอยู่ว่า การเกิดแผ่นดินไหวนั้นไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์สามารถเรียนรู้จากอดีต และปรับตัวเพื่อรับมือกับหายนะที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้าได้.

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Data Model

แบบจำลองฐานข้อมูล (Data Model)
1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Model) เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ (tree structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลำดับชั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา หรือที่เรียกว่า เป็นการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก (Parent-Child Relationship Type : PCR Type)
คุณสมบัติของฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น
1. Record ที่อยู่ด้านบนของโครงสร้างหรือพ่อ(Parent Record) นั้นสามารถมีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน แต่ลูก (Child Record) จะไม่สามารถมีพ่อได้มากกว่า 1 คนได้
2. ทุก Record สามารถมีคุณสมบัติเป็น Parent Record(พ่อ) ได้
3. ถ้า Record หนึ่งมีลูกมากกว่าหนึ่ง Record แล้ว การลำดับความสัมพันธ์
ของ Child Record จะลำดับจากซ้ายไปขวา
ลักษณะเด่น
เป็นระบบฐานข้อมูลที่มีระบบโครงสร้างซับซ้อนน้อยที่สุด
มีค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างฐานข้อมูลน้อย
ลักษณะโครงสร้างเข้าใจง่าย
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกงานแบบเรียงลำดับต่อเนื่อง
ป้องกันระบบความลับของข้อมูลได้ดี เนื่องจากต้องอ่านแฟ้มข้อมูลที่เป็นต้นกำเนิดก่อน
ข้อเสีย
• Record ลูก ไม่สามารถมี record พ่อหลายคนได้ เช่น นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้มากกว่า 1 วิชา
มีความยืดหยุ่นน้อย เพราะการปรับโครงสร้างของ Tree ค่อนข้างยุ่งยาก
มีโอกาสเกิดความซ้ำซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบฐานข้อมูลแบบโครงสร้างอื่น
หากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา เนื่องจากจะต้องเข้าถึงที่ต้นกำเนิดของข้อมูล

 
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Model) - ลักษณะฐานข้อมูลนี้จะคล้ายกับลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ในลักษณะฐานข้อมูลแบบเครือข่ายนี้สามารถมีต้นกำเนิดของข้อมูลได้มากกว่า 1 และยินยอมให้ระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
- ลักษณะโครงสร้างระบบฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะมีโครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห
ข้อดี
ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบไป-กลับ ได้
สะดวกในการค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำเนิดโดยทางเดียว และการค้นหาข้อมูลมีเงื่อนไขได้มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบลำดับชั้น



3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Model) เป็นการจัดข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติ คือมี แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่มีอยู่ทั้งสองตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูล
ข้อดี
เหมาะกับงานที่เลือกดูข้อมูลแบบมีเงื่อนไขหลายคีย์ฟิลด์ข้อมูล
ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์นี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไขได้ดี
การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมีการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำงานได้
ข้อเสีย
มีการแก้ไขปรับปรุงแฟ้มข้อมูลได้ยากเพราะผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร
มีค่าใช้จ่ายของระบบสูงมากเพราะเมื่อมีการประมวลผลคือ การอ่าน เพิ่มเติม ปรับปรุงหรือยกเลิกระบบจะต้องทำการสร้างตารางขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ในแฟ้มข้อมูลที่แท้จริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย


4. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object Oriented Model)
ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางด้านมัลติมีเดีย คือ มีข้อมูลภาพ และเสียง หรือข้อมูลแบบมีการเชื่อมโยงแบบเว็บเพจ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับ Relation Model
มองสิ่งต่างๆ เป็น วัตถุ (Object)
วัตถุประสงค์ของแบบจำลองข้อมูล
เพื่อนำแนวคิดต่างๆ มาเสนอให้เกิดเป็นแบบจำลอง
เพื่อนำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่นเดียวกันการดูแปลนบ้านที่จะทำให้เราเข้าใจโครงสร้างบ้านได้เร็ว
เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้ออกแบบฐานข้อมูลกับผู้ใช้ให้ตรงกัน
ประเภทของแบบจำลองข้อมูล
ประเภทของแบบจำลองข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Conceptual Models คือ แบบจำลองแนวคิดที่ใช้พรรณนาลักษณะโดยรวมของข้อมูลทั้งหมดในระบบ โดยนำเสนอในลักษณะของแผนภาพ ซึ่งประกอบด้วยเอนทีตีต่างๆ และความสัมพันธ์ โดยแบบจำลองเชิงแนวคิดนี้ต้องการนำเสนอให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ออกแบบและผู้ใช้งาน คือเมื่อเห็นภาพแบบจำลองดังกล่าวก็จะทำให้เข้าถึงข้อมูลชนิดต่างๆ
2. Implementation Models เป็นแบบจำลองที่อธิบายถึงโครงสร้างของฐานข้อมูล
คุณสมบัติของแบบจำลองข้อมูลที่ดี
• 1. ง่ายต่อความเข้าใจ
• 2. มีสาระสำคัญและไม่ซ้ำซ้อน หมายถึง แอตทริบิวต์ในแต่ละเอนทีตี้ไม่ควรมีข้อมูลซ้ำซ้อน
• 3. มีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการปรับปรุงในอนาคต กล่าวคือแบบจำลองข้อมูลที่ดีไม่ควรขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชันโปรแกรม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ นั่นคือความเป็นอิสระในข้อมูล


5.ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ-สัมพันธ์ (Object Relational Database Management System : ORDB) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งต้องการที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น งานสื่อประสม ข้อมูลทางการแพทย์ [เช่น ฟิล์มเอกซเรย์ (X - rays) ภาพลักษณ์เอ็มอาร์ไอ (MRI Imaging) งานแผนที่ ข้อมูลเกี่ยวกับอวกาศ และข้อมูลด้านการเงินซึ่งนับวันจะมีความซับซ้อนขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นต้น ผู้ผลิตระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ตระหนักดีว่า ลักษณะของข้อมูลที่ผู้ใช้ ต้องการจัดเก็บลงในฐานข้อมูลนั้นมีความหลากหลายมาก การพัฒนาระบบให้สามารถทำงานได้กับชนิดของข้อมูลเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะจะมีชนิดของข้อมูลแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ดังนั้น วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ พัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลให้มีศักยภาพในการขยายความสามารถในการใช้งานกับชนิดของข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งการขยายประสิทธิภาพตรงจุดนี้ควรที่จะนำเทคโนโลยีการโปรแกรมเชิงวัตถุมาใช้ด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อได้เปรียบใน
หลายๆ ประการ ได้แก่ สภาพเป็นส่วนจำเพาะมากยิ่งขึ้น (Greater Modularity) คุณภาพที่ดีขึ้น (Quality) การนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก (Reusabi lity) และการขยายความสามารถได้ (Extensibility) ตัวอย่างของระบบจัดการฐานข้อมูลที่ขยายจากเชิงสัมพันธ์เป็นเชิงวัตถุ-สัมพันธ์ ได้แก่ ดีบีทู รีเลชันแนล เอกซ์เทนเดอรส์ (DB2 Relational Extenders) อินฟอร์มิกซ์ เดทาเบลดส์ (Informix DataBlades) และ โอราเคิล คาร์ทริดจ์ (Oracle Cartridges) เป็นต้น
 

Data Model

2.แบบจำลองข้อมูลเครือข่าย (Network Database Model)
-มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายกับโครงสร้างแบบลำดับชั้น แต่แตกต่างกันที่ข้อมูลมีความสัมพันธ์ได้ทั้งแบบ one-to-one  , one-to-many และmany-to-many
-มีการจัดเก็บข้อมูลในโครงสร้างแบบกราฟ
-ตัวอย่าง DBMS ได้แก่ IDMS
-การจัดเก็บข้อมูลในการสั่งซื้อสินค้า บันทึกข้อมูลในรูปแบบกราฟ



ข้อดี  แบบจำลองข้อมูลเครือข่าย (Network Database Model)1. สนับสนุนความสัมพันธ์แบบ many-to-many
2. ความซับซ้อนในข้อมูลเกิดขึ้นน้อยกว่าแบบลำดับชั้น
3. สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบไปกลับได้
4. มีความยืดหยุ่นในการค้นหาข้อมูลดีกว่า โดยใช้ Pointer ในการเข้าถึงข้อมูล
ข้อจำกัด  แบบจำลองข้อมูลเครือข่าย (Network Database Model)1.  เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง ทำให้การป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลมีน้อยลง
2. สิ้นเปลืองเนื้อที่ของหน่วยความจำในการเก็บ Pointer
3. การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างยังมีความยุ่งยากอยู่



3. แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relation Database Model)
-เป็นแบบที่คนใช้มากที่สุดในปัจจุบัน
-เป็นผลงานของ E.F.Codd (ค.ศ. 1970)
-นำเสนอข้อมูลในรูปแบบตาราง ทำให้สามารถเข้าใจได้ง่าย ประกอบด้วย Row และ Column สามารถแสดงความสัมพันธ์ได้ทั้งแบบ one-to-one  , one-to-many และ many-to-many และใช้ Key ในการอ้างอิงกับตารางอื่น (Primary key , Secondary Key)
-สามารถใช้คำสั่ง SQLในการจัดการกับฐานข้อมูลชนิดนี้
ข้อดี แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relation Database Model)
1. สามารถสื่อสารและเข้าใจได้ง่าย
2. สามารถเลือกแสดงข้อมูลตามเงื่อนไขได้หลาย Key Field
3. ความซับซ้อนของข้อมูลมีน้อยมาก
4. มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีผู้ใช้งานไม่ต้องทราบโครงสร้างของการเก็บข้อมูลภายในฐานข้อมูล
5. โครงสร้างของฐานข้อมูลมีความอิสระจากโปรแกรม
ข้อจำกัด แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relation Database Model)
1.ต้องมีการลงทุนสูงเนื่องจากต้องใช้ Hardware และ Software ที่มีความสามารถสูง
2.ไม่เหมาะสำหรับข้อมูลภาพและเสียง ในระบบฐานข้อมูลมัลติมีเดีย, hypertext







 

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พิกัดภูมิศาสตร์และพิกัดกริด



ในประเทศไทยเรานิยมใช้แผนที่ที่ผลิตโดยกรมแผนที่ทหารนำมาใช้งาน และนำมาเป็นแผนที่อ้างอิงประกอบ หรือที่เรียกว่าแผนที่ฐาน (Base Map) เนื่องจากถือว่าเป็นแผนที่มาตรฐานที่มีความถูกต้องสูง โดยแบ่งเป็น 2  มาตราส่วน คือ มาตราส่วนเล็ก 1:250,000   หรือแผนที่ภูมิประเทศลำดับชุด 1501 S มีระบบพิกัดเป็นระบบพิกัดภูมิศาสตร์   ซึ่งประชาชนหรือผู้สนใจทั่วไปสามารถจะซื้อมาใช้ได้   และมาตราส่วนใหญ่  1:50,000 หรือแผนที่ภูมิประเทศลำดับชุด L7017 มีระบบพิกัดเป็นระบบพิกัดภูมิศาสตร์ และระบบพิกัดกริด UTM ใช้ได้เฉพาะหน่วยงานราชการเท่านั้น  

สำหรับระบบพิกัดที่ใช้อ้างอิงกำหนดตำแหน่งบนแผนที่ที่นิยมใช้กับแผนที่ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 2 ระบบ คือ
1) ระบบพิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinate)
2) ระบบพิกัดกริด  (Grid Coordinate)   ในที่นี้จะพูดถึง พิกัดกริดแบบ UTM (Universal Transvers Mercator) ซึ่งใช้กับแผนที่ภูมิประเทศชุด L 7017 ของกรมแผนที่ทหาร

ระบบพิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinate System)
เป็นระบบพิกัดที่กำหนดตำแหน่งต่างบนพื้นโลก  ด้วยวิธีการอ้างอิงบอกตำแหน่งเป็นค่าระยะเชิงมุมของละติจูด  (Latitude) และ  ลองกิจูด (Latitude)  ตามระยะเชิงมุมที่ห่างจากศูนย์กำเนิด (Origin) ของละติจูดและลองกิจูด ที่กำหนดขึ้นสำหรับศูนย์กำเนิดของละติจูด (Origin of Latitude) นั้นกำหนดขึ้นจากแนวระดับ ที่ตัดผ่านศูนย์กลางของโลกและตั้งฉากกับแกนหมุน เรียกแนวระนาบศูนย์กำเนิดนั้นว่า เส้นศูนย์สูตร (Equator)  ซึ่งแบ่งโลกออกเป็นซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ฉะนั้นค่าระยะเชิงมุมของละติจูด  จะเป็นค่าเชิงมุมที่เกิดจากมุมที่ศูนย์กลางของโลก  กับแนวระดับฐานกำเนิดมุมที่เส้นศูนย์สูตร   ที่วัดค่าของมุมออกไปทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ค่าของมุมจะสิ้นสุดที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ มีค่าเชิงมุม  90  องศาพอดี  ดังนั้นการใช้ค่าระยะเชิงมุมของละติจูดอ้างอิง บอกตำแหน่งต่างๆ นอกจากจะกำหนดเรียกค่าวัดเป็น องศา  ลิปดา และฟิลิปดา แล้วจะบอก ซีกโลกเหนือหรือใต้กำกับด้วยเสมอ เช่น ละติจูดที่ 30 องศา 00 ลิปดา 15 ฟิลิปดาเหนือ
ส่วนศูนย์กำหนดของลองกิจูด (Origin of Longitude) นั้น ก็กำหนดขึ้นจากแนวระนาบทางตั้งที่ผ่านแกนหมุนของโลกตรงบริเวณตำแหน่งบนพื้นโลกที่ผ่านหอดูดาว เมืองกรีนิช  (Greenwich) ประเทศอังกฤษ เรียกศูนย์กำเนิดนี้ว่า เส้นเมริเดียนเริ่มแรก (Prime Meridian) เป็นเส้นที่แบ่งโลกออกเป็นซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออกค่าระยะเชิงของลองกิจูดเป็นค่าที่วัดมุมออกไปทางตะวันตก และตะวันออกของเส้นเมอริเดียนเริ่มแรก วัดจากศูนย์กลางของโลกตามแนวระนาบ ที่มีเมอริเดิยนเริ่มแรกเป็นฐานกำเนิดมุมค่าของมุมจะสิ้นสุดที่เส้นเมอริเดียนตรงข้ามเส้นเมริเดียนเริ่มแรกมีค่าของมุมซีกโลกละ  180 องศา  การใช้ค่าอ้างอิงบอกตำแหน่งก็เรียกกำหนดเช่นเดียวกับละติจูด แต่ต่างกันที่จะต้องบอกเป็นซีกโลกตะวันตก หรือตะวันออกแทน เช่น ลองกิจูดที่ 90 องศา 00 ลิปดา 00 ฟิลิปดาตะวันตก





ระบบพิกัดกริด UTM  (Universal Transvers Mercator co-ordinate System)
   พิกัดกริด UTM (Universal Transvers Mercator) เป็นระบบตารางกริดที่ใช้ช่วยในการกำหนดตำแหน่งและใช้อ้างอิง
ในการบอกตำแหน่ง ที่นิยมใช้กับแผนที่ในกิจการทหารของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกในปัจจุบัน   เพราะเป็นระบบตารางกริดที่มีขนาดรูปร่างเท่ากันทุกตาราง และมีวิธีการกำหนดบอกค่าพิกัดที่ง่ายและถูกต้องเป็นระบบกริดที่นำเอาเส้นโครงแผนที่แบบ  Universal Transvers Mercator Projection ของ Gauss Krugger มาใช้ดัดแปลงการถ่ายทอดรายละเอียดของพื้นผิวโลกให้รูปทรงกระบอก Mercator Projection อยู่ในตำแหน่ง Mercator Projection (แกนของรูปทรงกระบอกจะทับกับแนวเส้นอิเควเตอร์ และตั้งฉากกับแนวแกนของขั้วโลก)  ประเทศไทยเราได้นำเอาเส้นโครงแผนที่แบบ UTM นี้มาใช้กับการทำแผนที่กิจการทหารภายในประเทศจากรูปถ่ายทางอากาศในปี  1953 ร่วมกับสหรัฐอเมริกา เป็นแผนที่มาตราส่วน 1:50,000  ชุด 708 และปรับปรุงใหม่เป็นชุด L 7017 ที่ใช้ในปัจจุบัน

   แผนที่ระบบพิกัดกริด ที่ใช้เส้นโครงแผนที่แบบ UTM เป็นระบบเส้นโครงชนิดหนึ่งที่ใช้ผิวรูปทรงกระบอกเป็นผิวแสดงเส้นเมริเดียน (หรือเส้นลองกิจูด) และเส้นละติจูดของโลก โดยใช้ทรงกระบอกตัดโลกระหว่างละติจูด  84 องศาเหนือ และ 80 องศาใต้ในลักษณะแกนรูปทรงกระบอก ทำมุมกับแกนโลก 90  องศารอบโลก  แบ่งออกเป็น 60 โซนๆ  ละ 6 องศา โซนที่  1  อยู่ระหว่าง  180  องศา กับ   174  องศาตะวันตก    และมีลองกิจูด  177 องศาตะวันตก  เป็นเมริเดียนย่านกลาง (Central Meridian)  มีเลขกำกับแต่ละโซนจาก  1  ถึง   60  โดยนับจากซ้าย ไปทางขวาระหว่างละติจูด  84  องศาเหนือ  80  องศาใต้ แบ่งออกเป็น  2  ช่อง  ช่องละ   8 องศา  ยกเว้นช่องสุดท้ายเป็น  12 องศา  โดยเริ่มนับตั้งแต่ละติจูด 80 องศาใต้ ขึ้นไปทางเหนือ ให้ช่องแรกเป็นอักษร  C  และช่องสุดท้ายเป็นอักษร X  (ยกเว้น I และ  O)   จากการแบ่งตามที่กล่าวแล้วจะเห็นพื้นที่ในเขตลองกิจูด  180 องศาตะวันตก  ถึง   180  องศาตะวันออก  และละติจูด  80  องศาใต้ ถึง 84   องศาเหนือ  จะถูกแบ่งออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  1,200  รูป   แต่ละรูปมีขนาดกว้างยาว  6 องศา x  8 องศา จำนวน  1,140  รูป  และกว้างยาว  6 องศา x 12 องศา จำนวน  60  รูป   รูปสี่เหลี่ยมนี้เรียกว่า Grid Zone Designation (GZD) การเรียกชื่อ Grid Zone Designation ประเทศไทยมีพื้นที่อยู่ ระหว่างละติจูด 5 องศา 30 ลิปดา เหนือ ถึง 20 องศา 30 ลิปดา เหนือ  และลองกิจูดประมาณ 97 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก ถึง  105 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก  ดังนั้น  ประเทศไทยจึงตกอยู่ใน GZD  47N  47P  47Q 48N  48P และ 48Q การอ่านค่าพิกัดกริดเพื่อให้พิกัดค่ากริดในโซนหนึ่งๆ  มีค่าเป็นบวกเสมอ  จึงกำหนดให้มีศูนย์สมมุติขึ้น  2  แห่ง  ดังนี้
   - ในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร : เส้นศูนย์สูตรมีระยะห่างจากศูนย์สมมุติเท่ากับ  0  เมตร,  และเส้นเมริเดียนย่านกลางห่างจากศูนย์สมมุติ  500,000  เมตร ทางตะวันออก
   - ในบริเวณที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร : เส้นศูนย์สูตรมีระยะห่างจากศูนย์สมมุติไปทางเหนือ   10,000,000  เมตร และเมริเดียนย่านกลางห่างจากศูนย์สมมุติ  500,000 เมตร ทางตะวันออก







พิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinate)
โดยที่เราต้องอ่านค่าของละติจูดและลองกิจูดตัดกัน ทั้ง 2 แกน มีหน่วยที่วัด เป็น topo_degree.jpg (10993 bytes)  

หน่วยวัด  :  60   ฟิลิปดา  = 1  ลิปดา
                60   ลิปดา     = 1  องศา

พิกัดกริด UTM (UTM Grid Coordinate)
ใช้บอกค่าเป็นตัวเลข โดยที่เราต้องอ่านค่าของเส้นกริดตั้ง (แกน X ทางตะวันออก) และ เส้นกริดราบ (แกน Y ทางเหนือ) ตัดกันทั้ง 2 แกน ที่เส้นกริดตั้งและราบมีตัวเลขตัวโต  2  ตัวกำกับไว้ทุกเส้น   มีหน่วยที่วัดเป็น เมตร การหลักอ่านมีหลักดังนี้
       1. ให้อ่านเพียงตัวเลขใหญ่ที่กำกับไว้ในแต่ละเส้นกริด
       2. ให้อ่านตัวเลขใหญ่ประจำเส้นกริดตั้งก่อน เป็นการอ่านพิกัดที่เรียกว่า Read Right Up โดยอ่านจากซ้ายไปขวาก่อน แล้วอ่านตัวเลขใหญ่ประจำเส้นกริด        ราบ โดยอ่านจากข้างล่างขึ้นข้างบน
       3. การอ่านตัวเลขจึงประกอบด้วย  2  ส่วน
               ส่วนแรก หรือ ครึ่งแรก  เป็นตัวเลขอ่านไปทางขวา
               ส่วนหลัง หรือ ครึ่งหลัง  เป็นตัวเลขอ่านขึ้นข้างบน
                                    Read Right Up
      4. ถ้าอ่านเพียงจตุรัส  1,000 เมตร   ตัวเลขจะประกอบด้วย  4  ตัว
                100  เมตร   ตัวเลขจะประกอบด้วย  6  ตัว
                10 เมตร    ตัวเลขจะประกอบด้วย 8 ตัว

ที่มา http://www.rmutphysics.com/sciencefac/artic/map/map.htm

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 ภาษาที่เรียนยากที่สุด



อันดับที่ 10 Swahili
ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด

อันดับที่ 9  English
ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน

อันดับที่ 8  Korean
ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยกรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้

อันดับที่ 7  German
ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก


อันดับที่ 6  Russian
ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง

อันดับที่ 5  Japanese
ภาษา ญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน

อันดับที่ 4  Polish
ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมควร

อันดับที่ 3  Chinese
แน่ นอนว่าภาษาจีนเป็น อีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ

อันดับที่ 2  Hungarian
ภาษา ฮังการี  เป็น ภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย

อันดับที่ 1 Basque
ภาษา บาสก์  เป็น ภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว

http://www.udon-city.com/show_food.php?id_prd=1138