วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

UN เผยจำนวนผู้ลี้ภัยสงครามทั่วโลก '4 วินาทีต่อ 1 คน'

เนื่องในโอกาสที่วันนี้ เป็นวันผู้ลี้ภัยสากล ที่กำหนดโดยสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR จึงได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุด เกี่ยวกับจำนวนผู้ลี้ภัยทั่วโลก ที่ในขณะนี้ มีมากถึง 45 ล้าน 2 แสนคน ในจำนวนนี้ เป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองอื่นๆภายในประเทศของตน 28 ล้าน 8 แสนคน และเป็นผู้ที่อพยพข้ามพรมแดนของประเทศ ไปยังประเทศอื่น 15 ล้าน 4 แสนคน รวมถึง ผู้อพยพที่อยู่ระหว่างการขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอีก 937,000 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบ 19 ปี โดยสาเหตุหลัก มาจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ได้ลุกลามบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือการสู้รบในวงกว้าง ทำให้พลเมืองของประเทศนั้นๆต้องอพยพออกนอกประเทศ เพื่อหนีภัยสงคราม
 
 
ซึ่งจากสถิติที่มีการบันทึกเอาไว้พบว่า ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีผู้อพยพกว่า 1 ล้าน 1 แสนคน ที่อพยพข้ามพรมแดนไปยังประเทศอื่น ขณะที่ อีกกว่า 6 ล้าน 5 แสนคน อพยพย้ายถิ่นฐาน จากบ้านเกิดของตนไปอาศัยในเมืองอื่นๆของประเทศ ซึ่งเมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยแล้วปรากฏว่า ทุกๆ 4.1 วินาที จะมีผู้อพยพเกิดขึ้น 1 คน 
 
 
โดยผู้อพยพร้อยละ 55 ล้วนเป็นผู้อพยพที่หนีภัยสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศอัฟกานิสถาน โซมาเลีย อิรัก ซูดาน และซีเรีย ซึ่ง 1 ใน 4 ของผู้อพยพกลุ่มนี้ เป็นชาวอัฟกัน นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศมาลี  คองโก และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เกิดผู้อพยพย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก
 
 
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ จำนวนผู้อพยพที่ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดของตนมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับผู้อพยพที่ย้ายออกจากถิ่นฐานเดิม โดยปีที่ผ่านมา มีผู้อพยพกลับบ้านเกิดของตนเองราว 526,000 คนเท่านั้น ขณะที่ ผู้อพยพที่ไปตั้งรกรากอยู่ในประเทศร่ำรวย หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว มีมากถึง 886,000 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
 
 
สำหรับสถานการณ์ที่ UNHCR แสดงความกังวลมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือสถานการณ์ในประเทศซีเรีย ที่ส่อแววว่าจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อตอนสิ้นปี 2555 มีผู้อพยพชาวซีเรีย 650,000 คน ที่เดินทางออกนอกประเทศ แต่ล่าสุด จำนวนผู้อพยพชาวซีเรียกลับมีมากถึง 1 ล้าน 6 แสนคน โดย UNHCR คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ จำนวนผู้อพยพชาวซีเรีย อาจเพิ่มมากกว่า 3 ล้าน 5 แสนคนก็เป็นได้ ซึ่งดินแดนที่ชาวซีเรียอพยพไปอาศัยลี้ภัยสงครามนั้น ก็คือประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดน เลบานอน ตุรกี และอิรัก ซึ่งตอนนี้ ประเทศเหล่านี้ เริ่มไม่สามารถรับมือกับจำนวนผู้อพยพชาวซีเรียที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆได้
 
 
นอกจากนี้ UNHCR ยังเผยว่า ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย คือประเทศที่ให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มผู้อพยพลี้ภัยสงครามมากที่สุด ซึ่งปีที่ผ่านมา ปากีสถานเป็นประเทศที่มีผู้อพยพเดินทางเข้าไปอาศัยอยู่มากที่สุด ถึง 1 ล้าน 6 แสนคน รองลงมาคือประเทศอิหร่าน ที่มีมากถึง 868,200 คน และเยอรมนี คืออันดับที่ 3 หลังมีผู้อพยพเข้าไปมากถึง 589,700 คน
 
 
ทั้งนี้ จำนวนผู้อพยพที่เพิ่มมากขึ้นดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดา รวมถึงเหตุนองเลือดที่เคยเกิดขึ้นในยูโกสลาเวียในอดีต

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

8 แนวโน้มทางเศรษฐกิจ

แนวโน้มดังกล่าวนี้ นิตยสาร BRW เน้นว่าเป็นแนวโน้มที่ถูกพิจารณาว่ามีผลกระทบอย่างชัดเจน และ จำเป็นที่จะต้องหาทางแก้ไขหรือจัดการรับมือกับแนวโน้มนั้นๆ อย่างเร่งด่วน 

ถึงแม้ว่านิตยสาร BRW จะเน้นรายงานผลกระทบต่อธุรกิจของประเทศออสเตรเลีย และต่อระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวมก็ตาม ผมเห็นว่าแนวโน้มทั้งแปดนี้น่าที่จะได้รับการพิจารณาโดยนักธุรกิจไทยด้วยเช่นกัน บางแนวโน้มกระทบกับประเทศไทยโดยตรง ในขณะที่บางแนวโน้มอาจจะมองว่ายังมาไม่ถึงประเทศไทย แต่ในอนาคตอันใกล้ก็จะมาถึงอย่างแน่นอน 



แนวโน้มทั้งแปดนี้ ได้แก่ 

หนึ่ง การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่สามารถดำรงตนเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจของโลก ในปี คริสต์ศักราช 1800 จีนเคยมีส่วนแบ่งการผลิตทางด้าน อุตสาหกรรมมากถึงหนึ่งในสี่ของโลก แต่ในปีคริสต์ศักราช 1975 จีนกลับมีส่วนแบ่งเพียง 1.5% ของโลกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ ทำให้จีนกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุการเติบโตในอนาคต จีนจะเติบโตโดยเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลักบวกกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเรื่องการส่งออก ซึ่งต่างจากประเทศในเอเชียอื่นๆ ที่อาศัยการส่งออกเป็นตัวฉุดการเติบโตเป็นหลัก 

การเติบโตของจีนจึงถูกเปรียบว่าเหมือนกับการ เติบโตของอังกฤษในช่วงแรกของศตวรรษที่ 19 เหมือน เยอรมนีในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 เหมือนอเมริกาในช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 และเหมือนญี่ปุ่นในช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 

สอง จำนวนแรงงานที่ลดลง อายุของวัยทำงาน ที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นปัญหาสำคัญของธุรกิจในปัจจุบัน อายุของแรงงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อรูปแบบการบริหารงานและการทำการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับ การบริโภคและการวางนโยบายของภาครัฐบาล ที่สำคัญ อายุของแรงงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อจำนวนแรงงานที่ลดลง 

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานที่ผู้หญิงเข้ามาเป็นแรงงานที่สำคัญไม่แพ้ผู้ชาย แต่อัตราการเพิ่มของประชากรที่ลดลง โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่งผลต่อโครงสร้างประชากรอย่างชัดเจน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของประชากรเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนานพอสมควร 

ในประเทศออสเตรเลียเองก็ประสบปัญหานี้ โดยทางภาครัฐบาลกำลังพยายามหาทางแก้ปัญหาทางหนึ่งคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานที่มีอยู่ อีกทางหนึ่งคือการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ 

สาม เสถียรภาพของราคา ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจที่เกิดอุปทานส่วนเกิน, การผลิตเพื่อมุ่งสู่การป้อนตลาดโลก โดยโยกย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ และบทบาทของการรักษาเสถียรภาพของราคาผ่านนโยบายของธนาคารกลางโดยอาศัยการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้เกิดเสถียรภาพของราคา, อัตราเงินเฟ้อต่ำ และอัตราดอกเบี้ยต่ำ 

สภาพดังกล่าวทำให้บริษัทต่างๆ จำเป็นจะต้อง ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต และลดต้นทุน เพื่อเพิ่มกำไรของบริษัท 

สี่ การปฏิวัติไอทีอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการปฏิวัติใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 ก็ตาม การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี อย่างรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ บวกกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้ยุคดิจิตอลกลับมา อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะดูเหมือนว่ายุคดิจิตอลจบสิ้นไปตั้งแต่การแตกสลายของยุคดอทคอมเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2000 

การเข้ามาแทนที่สายโทรศัพท์ของการส่งสัญญาณ เสียงไปบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ Voice over IP (VoIP), การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ และการใช้เทคโนโลยีทางด้านไอทีในชีวิตประจำวันที่ง่ายขึ้น จนทำให้การใช้งานเทคโนโลยีทางด้านไอทีเหมือนการใช้ไฟฟ้าหรือแก๊สที่ใครๆ ก็ใช้ได้ จะเป็นสาเหตุสำคัญของการปฏิวัติในภาคดิจิตอลอีกครั้งหนึ่ง 

ห้า การปฏิวัติทางด้านการผลิต, ยา และ เกษตรกรรมผ่านไบโอเทคโนโลยี หรือ Life Sciences เป็นแนวโน้มสำคัญที่เริ่มต้นจากการเข้าใจความหมายของยีนของมนุษย์ การปฏิวัติทางด้านไบโอเทคโนโลยีทำให้การพัฒนาทางด้านการเกษตร, คอมพิวเตอร์, ยา, เคมี และสุขภาพเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง ในภาคการใช้พลังงาน 

หก การขาดแคลนน้ำ ถือเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด มากกว่าปัญหาเรื่องปฏิกิริยาเรือนกระจกที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นและเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เสียอีก องค์การสหประชาชาติประกาศว่า นับจากปีคริสต์ศักราช 1900 ถึง 1995 การบริโภคน้ำเพิ่มขึ้นหกเท่า เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเพียงสองเท่าเท่านั้น และคาดการณ์ว่า ภายในปีคริสต์ศักราช 2025 สองในสามของประชากรโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำ 

เจ็ด ภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเติบโตของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเหตุการณ์การก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ส่งผลต่อสมดุลของการเมืองโลกอย่างชัดเจน ยุคสงครามเย็นได้จบสิ้นไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ทำให้เส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศสูญสลายไป เกิดเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและกลุ่มศาสนาแทน ความขัดแย้งจะเปลี่ยนจากการขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์การเมืองไปสู่การขัดแย้งทางการค้าและทางศาสนา ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 

สุดท้าย การอพยพแรงงาน การขาดแคลนแรงงานจากอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก ทำให้เกิดการอพยพของแรงงานมีฝีมืออย่างกว้างขวางทั่วโลก แต่ในอีกมิติหนึ่ง ปัญหาสังคมกลับเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเช่นกัน ปัญหาความรุนแรงในประเทศเนเธอร์แลนด์สะท้อนให้เห็นสภาพปัญหาสังคมที่ค่อนข้างชัดเจนจากการพยายามแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ การพยายามคงประสิทธิภาพในการผลิตที่สูงของประเทศตะวันตกต้องพึ่งพาการอพยพ เข้ามาของแรงงานมีฝีมือมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและสังคมกำลังเพิ่มขึ้นเป็น เงาตามตัว ซึ่งสาเหตุสำคัญคือ การรังเกียจสีผิว และ เผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นปัญหาอ่อนไหวที่ยังคงต้องถกเถียงกันไปอีกนาน 

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

12 ที่ดินทำเลทองที่ราคาซื้อแพงกว่าราคาประเมินลิบลิ่ว

เปิดรายชื่อ 12 โซนที่ดินทำเลทองที่มีการซื้อขายที่แพงขึ้นมากเมื่อเทียบกับราคาประเมิน โดยถนนวิทยุ เป็นแชมป์ ซื้อขายจริงตารางวาละ 1.7 ล้าน



 
จากราคาประเมินรอบบัญชีปี 2555-2558 ที่ประกาศบังคับใช้ไปแล้ว พบว่าที่ดินแนวรถไฟฟ้าย่านธุรกิจมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก แต่เมื่อเทียบกับราคาซื้อ-ขายจริงในตลาดกลับพบว่าราคาประเมินของกรมธนารักษ์ที่ประกาศออกมานั้นยังต่ำกว่าราคาตลาดหลายช่วงตัว
 
           ทั้งนี้ จากผลการสำรวจของบริษัท เซ็นจูรี 21 เรียลตี้ แอฟพิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด พบว่าปัจจุบันราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าย่านธุรกิจมีการเสนอขายกันแพงขึ้นมาก และมีแนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ราคาจะขยับขึ้นอีกเช่นกัน ส่งผลให้ต้นทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสูงขึ้น ผู้ประกอบการบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายค่ายหันมาปรับตัวด้วยการดีไซน์ห้องให้มีขนาดเล็กลงเพื่อสู้กับต้นทุนดังกล่าว

            โดยบริษัทได้สำรวจราคาซื้อขายที่ดินแนวรถไฟฟ้าย่านธุรกิจที่เหมาะสำหรับพัฒนาคอนโดมิเนียมมีด้วยกัน 12 ทำเล ที่มีการซื้อขายที่แพงขึ้นมากเมื่อเทียบกับราคาประเมินของทางราชการที่ประกาศบังคับใช้ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555
 
           ซึ่ง12 ทำเลทองที่มีการซื้อขายที่แพงขึ้นมากเมื่อเทียบกับราคาประเมินของทางราชการ มีดังนี้
 
1. ถนนวิทยุ แชมป์แพงสุดตอนนี้ ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท/ตารางวา ขณะที่ราคาประเมินอยู่ที่ 5-7 แสนบาท/ตารางวา ล่าสุด ราคาซื้อขายถีบตัวสูงขึ้นถึง 1.7 ล้านบาท/ตารางวา
 
2. ถนนเพลินจิต ราคาซื้อขาย 1.5 ล้านบาท/ตารางวา เทียบกับราคาประเมินอยู่ที่ 8 แสนบาท/ตารางวา ราคาเสนอขายล่าสุดเกิน 1.5 ล้านบาท/ตารางวา
 
3. ถนนราชดำริ ราคาเสนอขายล่าสุดเกิน 1.5 ล้านบาท/ตารางวา แต่ราคาประเมินอยู่ที่ 7-8 แสนบาท/ตารางวา
 
4. ถนนพระรามที่ 1 ราคาซื้อขายจริงปรับตัวสูงถึง 1 ล้านบาท/ตารางวา ขณะที่ราคาประเมินอยู่ที่ 4-8 แสนบาท/ตารางวา ส่วนราคาซื้อขายอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท/ตารางวา 
 
5. ถนนสุขุมวิท ราคาซื้อขายจริง 8 แสน-1.5 ล้านบาท/ตารางวา ส่วนราคาประเมินอยู่ที่ 1.5-5.2 แสนบาท/ตารางวา ราคาเสนอขายล่าสุด 1.3-1.5 ล้านบาท/ตารางวา
 
6. ถนนพญาไท-ราชเทวี นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดถึง 84.61 เปอร์เซ็นต์ จากราคาประเมิน 5 แสนบาท/ตารางวา ราคาซื้อขายในตลาดอยู่ที่ 6.5 แสนบาท/ตารางวา ล่าสุดราคาเสนอขายอยู่ที่ 1.2 ล้านบาท/ตารางวา 
 
7. ถนนนราธิวาส-สาทร ตอนนี้ราคาเสนอขายล่าสุด 6 แสน - 1.2 ล้านบาท/ตารางวา สูงขึ้นจากราคาซื้อขายในตลาดอยู่ที่ 5-8.5 แสนบาท/ตารางวา เทียบกับราคาประเมินอยู่ที่ 4.5-6 แสนบาท/ตารางวา
 
8. ถนนสีลม ราคาเสนอขายในตลาดปัจจุบัน ตารางวาละ 7 แสน - 1 ล้านบาท จากราคาซื้อขายในตลาดก่อนหน้านี้อยู่ที่ 5-7 แสนบาท/ตารางวา ส่วนราคาประเมินอยู่ที่ 6.5 - 8.5 แสนบาท/ตารางวา 
 
9. ถนนพหลโยธิน ตั้งแต่ซอยอารีย์ 5-7 มีการขยับขึ้นพอประมาณ จากราคาประเมิน 3-3.5 แสนบาท/ตารางวา ขณะที่ราคาซื้อขายจริงในตลาดอยู่ที่ 6.5-7.5 แสนบาท/ตารางวา และราคาเสนอขายล่าสุดอยู่ที่ 6.5-9 แสนบาท/ตารางวา
 
10. ถนนรัชดาภิเษก โดยเฉลี่ยมีการเปลี่ยนแปลงไม่หวือหวาประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดราคาเสนอขายขยับอยู่ที่ 5 แสนบาท/ตารางวา จากราคาซื้อขายจริงในตลาด 4.5 แสนบาท/ตารางวา โดยราคาประเมินอยู่ที่ 3.5 แสนบาท/ตารางวา
 
11. ถนนพระรามที่ 4 ปัจจุบันราคาเสนอขายอยู่ที่ 4.5-5 แสนบาท/ตารางวา จากราคาซื้อขายจริงในตลาด 4 แสนบาท/ตารางวา และราคาประเมิน 4-5 แสนบาท/ตารางวา
 
12. ถนนลาดพร้าว ราคาเสนอขาย 3.8 แสนบาท/ตารางวา เพิ่มขึ้นจากราคาซื้อขายจริงในตลาดอยู่ที่ 3.3 แสนบาท/ตารางวา ต่างกันเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาประเมินอยู่ที่ 1.8-1.9 แสนบาท/ตารางวา
 

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การประเมินความพร้อมหลังการเปิด AEC



   ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินในภูมิภาคนี้ ให้ความเห็นว่าเมื่อเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจ พ.ศ.2553 กับปัจจุบัน 56% ประเมินว่าปัจจุบันดีกว่า มีเพียง 7% ที่เห็นว่าแย่ลง  ที่เหลือ 36% บอกว่าเหมือนเดิม  สำหรับในนายละเอียด ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไน สิงคโปร์ และไทย มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังแทบไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ประเทศอื่น ๆ กลับมองว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นหลัก  และเมื่อพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. 2557 ส่วนใหญ่ 67% บอกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น มีเพียง 4% ที่คิดว่าจะเลวร้ายลง  อย่างไรก็ตามผู้แทนจากประเทศไทยส่วนใหญ่เห็นว่าจะยังคงเหมือนเดิม





 ต่อกรณีตลาดอสังหาริมทรัพย์ พบว่า 63% คิดว่าสถานการณ์ตลาดดีขึ้นกว่าปี พ.ศ.2553  อย่างไรก็ตาม ราว ๆ ครึ่งหนึ่งของผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบรูไนและไทย คิดว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในไทย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของบรูไน ยังไม่กระเตื้องขึ้นนั่นเอง  และเมื่อพิจารณาถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้าคือ ณ พ.ศ.2557 พบว่าส่วนใหญ่ 66%จากแทบทุกประเทศระบุว่าสถานการณ์น่าจะดีกว่าปัจจุบัน  อย่างไรก็ตามผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากประเทศไทยยังเห็นว่าตลาดยังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักใน 2 ปีข้างหน้า

            ในแง่ของความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพ  หากวิชาชีพแพทย์ ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดถึง 100% วิชาชีพอื่นจะมีระดับความน่าเชื่อถือกี่เปอร์เซ็นต์  ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินประเมินวิศวกรอยู่ที่ 80%  ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเองอยู่ที่ 77%  นักกฎหมายอยู่ที่ 75% และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 68%  ทั้งนี้คงเป็นเพราะอาชีพนายหน้ายังไม่ได้มีการควบคุมอย่างจริงจังในประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทย

            ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการเปิดเขตเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี พ.ศ.2558 ปรากฏว่า 62% เห็นว่าน่าจะส่งผลในทางบวกต่อประเทศของตนเอง  อย่างไรก็ตามในประเทศเช่นไทย เวียดนามดูเหมือนจะมีความห่วงใยเช่นกันต่อการเข้ามาแข่งขันทางการบริการวิชาชีพจากประเทศอื่น  และเมื่อถูกถามถึงความพร้อมในการรับมือกับการแข่งขันใน AEC ปรากฏว่า เวียดนามกลับมีความพร้อมที่สุดถึง 86% จาก 100%  รองลงมาคือมาเลเซียได้ 72%  อันดับสามคือไทย 67% และอินโดนีเซีย 63%  บรูไนและฟิลิปปินส์ ดูมีความพร้อมต่ำกว่าเพื่อนคือได้ 58% และ 57% ตามลำดับ
            ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านจะกรีฑาทัพเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย  ทั้งนี้โดยพิจารณาจากว่ากรุงเทพมหานครมีจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์  นอกจากนั้นในพื้นที่ตากอากาศเช่นพัทยา สมุย ภูเก็ตและหัวหิน ก็มีต่างชาติสนใจมาลงทุนเป็นจำนวนมากเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวทางการแก้ปัญหาประชากร 7000 ล้านคน


 เมื่อประชากรโลกเหยียบ 7,000 ล้านคน : สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร





       การคาดการณ์ประชากรโลกในปี 2011 ของสมาคมประชากรโลกที่ หนังสือวารสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ฉบับเดือนมกราคม 2554 นำมาลงหน้าปก เป็นการเตือนว่าในปีนี้ ประชากรโลกจะมีจำนวนถึง 7,000 ล้านคน ที่หลายประเทศจะต้องไม่ละเลย และเตรียมการรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากร ซึ่งไม่กี่ปีมานี้เราพูดถึงประชากรโลกที่ 6,000 ล้านคน ทำให้ต้องแก่งแย่งทรัพยากรกันมหาศาล

                แต่ในขณะที่ปีนี้ประชากรโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาปัญหาของประชากรยังไม่ดูรุนแรงเท่ากับปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัญหาโลกร้อนที่กล่าวถึงกันในปัจจุบัน ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ประชากรเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ในบางประเทศที่มีผู้สูงอายุปริมาณมากขึ้นต้องเป็นภาระที่รัฐบาลในหลายประเทศประสบปัญหาในการให้บริการทางสุขภาพ ความเป็นอยู่ของประชากรสูงวัยเหล่านั้นด้วยต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาลในการดูแลเป็นภาระของประชากรวัยทำงานที่ต้องแบกภาระอีกทางหนึ่ง

                อย่างไรก็ตามความต้องการอาหาร ทรัพยากรที่มีมากขึ้น กระทบต่อสิ่งมีชีวิต สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้อย่างมาก ตั้งแต่ทรัพยากรที่ดินแหล่งเพาะปลูก ที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า พืชพรรณธรรมชาติต่างถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ทรัพยากร ของประชากรโลก มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเมืองจึงไม่เพียงแต่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังมีการขยายเมืองในพื้นที่รอบนอกอย่างมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่สัตว์ป่าพืชพรรณตามธรรมชาติจะสูญพันธุ์เร็วขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์

                จากสภาพที่เปลี่ยนแปลงจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ที่กล่าวมาแล้วผลจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างมหาศาล ในกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมเหล่านั้น ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้ไม่น่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยพิจารณาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าน้ำท่วม ภาวะความแห้งแล้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรง หรือความถี่มากขึ้น นอกจากนี้ขอบเขตของผลกระทบที่เกิดขึ้น จากความสามารถของธรรมชาติที่เคยฟื้นสภาพอย่างรวดเร็ว กับดูเหมือนว่าโลกใบนี้เริ่มล้า และอ่อนแรง การฟื้นฟูสภาพกลับมาดังเดิมดูจะเป็นเรื่องยาก อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำในทะเลจนเกิดปะการังฟอกขาว ที่พยายามจะพื้นฟูโดยเทคโนโลยีต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร

                การบริโภคทรัพยากรต่างๆ ของมนุษย์ ในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร ก่อให้เกิดมลพิษจำนวนมาก มีความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพหลายชนิดที่ส่งผลกระทบกลับมายังระบบนิเวศ เช่น ความต้องการพลังงาน ใช้ทรัพยากรเชื้อเพลิงปริมาณมากๆ และเกิดมลพิษทางอากาศ ส่งผลกลับมาที่พืชพรรณในพื้นที่ได้รับฝนกรดจากการสะสมตัวของไอกรดจากการผลิตพลังงานในพื้นที่

                จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว บนโลกใบนี้จนยากจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม ทำให้มนุษย์ชาติ ต้องปรับตัว บทความนี้จึงอยากจะเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน และผู้กำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศได้พิจารณา ดังนี้

                1. แนวคิดเมืองช้า (slowly city) คือการใช้ชีวิต ทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันในเมืองที่เคยเร่งรีบตั้งแต่การกิน การนอน การทำงานให้ช้าลงไป จากการแข่งขัน แก่งแย่งกันในเรื่องต่างๆ ของชีวิต ลองหันกลับมาทบทวน และลดความเร็วในการใช้ชีวิตดูบ้าง ที่เป็นรูปธรรมได้แก่ การกินโดยการเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น ละเอียดขึ้น การทำงานที่ใช้สติรอบคอบ การนอนที่เหมาะสมกับวัย การเดินทางที่หันมาเดินแทนการขับรถซิ่งตามท้องถนน สร้างกฎกติกาการดำเนินชีวิตอย่างช้าๆ บ้าง จะทำให้เราได้ตระหนักถึงความเป็นไปในการดำเนินชีวิตและความสวยงามของการใช้ชีวิตอย่างประณีตมากขึ้น ในเมือง slow city จริงๆ มีให้เห็นอยู่มากในเมืองชนบท เมืองเกษตรกรรมต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายและดั้งเดิม ดูจะเป็นวิถีแบบไทยๆ ที่น่าสัมผัส 

slow city จึงไม่ใช่เมืองฝันกลางวันแต่เป็นเมืองแห่งการมีสติ และมองรอบด้านด้วยการเห็นคุณค่าของเวลาและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ร่วมกัน ข้อเสนอแนวคิดนี้จึงน่าจะเป็นการเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ประเทศไทยได้เสนอเมืองลำพูน เป็นตัวอย่างเมืองslow city ที่เรียกว่าเมืองสบาย สบาย ซึ่งจะเป็นตัวอย่างเมืองอื่นๆ ที่มีความเป็นอยู่และวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน

                2. แนวคิด small is beautiful เป็นแนวคิดของนักเขียน ชูมัคเกอร์ ชาวเยอรมัน ที่นำเสนอการทำงานเล็กๆ ที่ให้ความเป็นตัวตนของเรา การขับเคลื่อนของธุรกิจที่มีความคล่องตัวกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรโลก


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรโลก



ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจาก
  1. การค้นคว้าทางการแพทย์
    • ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การผลิตวัคซีนป้องกันและรักษาโรค รวมถึงมีองค์การที่เกี่ยวกับการระบาดของโรคและวัฏจักรของการแพร่เชื้อโรค
  2. ความรู้เรื่องสุขอนามัยของประชากร
    • ประชากรโลกแทบทุกประเทศมีความรู้เรื่องสุขอนามัยมากขึ้นรวมทั้งมีการจัดการระบบ การวางแผนครอบครัวที่มีประสิทธิภาพ
  3. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
    • ที่ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสารทางการแพทย์ และสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง เช่น ผู้ป่วยสามารถปรึกษาอาการกับแพทย์ ได้ทางโทรศัพท์หรือสื่อต่างๆ หรือการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ ผ่านระบบโทรคมนาคมต่างๆ เป็นต้น
  4. ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
    • ผู้หญิงเริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงทีมีทัศนคติต่อการแต่งงานเป็นด้านลบ ส่งผลให้จำนวนประชากรวัยเด็กลดน้อยลง
ปัญหาของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
ปัญหาของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
  1. ปัญหาการขาดแคลนอาหารและทัพยากร
    • เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากอาหารและทรัพยากรต่างๆ ย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก่อให้เกิดการขาดแคลนในบางประเทศที่กำลัีงพัฒนา
    • การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อาจทำให้อาหารมีสารพิษปนเปื้อน หรือ ทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ
  2. ปัญหาการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
    • เมื่อมีการขาดแคลนทรัพยากรเกิดขึ้นทำให้ต้องมีการบุกรุกป่าไม้ เพื่อที่จะหาทรัพยากร ทำให้เกิดการขาดพื้นที่ป่าไม้ และเป็นการทำลายระบบนิเวศน์
    • ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างมาก มีการปล่อยของเสียสู่ที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดมลพิษ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชากรโลก และ ทำให้สภาพอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
  3. ปัญหาด้านคุณภาพชีวิตและสังคม
    • เมื่อทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ประชากรกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยกรและการแข่งขันทางสังคมสูงขึ้น
    • ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคม เช่น การขาดการศึกษา สุขภาพอนามัยไม่ดี ขาดแคลนที่อยู่ และ ปัญหาการว่างงาน
  4. ปัญหาการขัดแย้งระหว่างประเทศ
    • ประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว บางประเทศมีนโยบายระบายประชากรออก เเพื่อแสวงหาอาณานิคมและทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งอาจทำหใ้เกิดการขัดแย้งขึ้นประหว่างประเทศ
    • ก่อให้เกิดปัญหา รุกกล้ำข้ามพรมเดิน หรือ ผู้อพยบเข้ามาอย่างผิดกฏหมาย