วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กสิกรไทยคาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังผันผวน จับตาแรงขายต่างชาติ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย  รายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง จากแรงขายของต่างชาติ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,338.13 จุด ลดลง 7.44% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 22.16% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 49,872.53 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAIปิดที่ 356.70 จุด ลดลง 10.23% จากสัปดาห์ก่อน

          ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องโดยยังคงได้รับแรงกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2556 ออกมาน่าผิดหวัง โดยขยายตัวเพียง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า

          สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 26-30 ส.ค. 2556 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังคงผันผวน โดยที่ต้องจับตาแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เครื่องชี้ราคาที่อยู่อาศัย จีดีพีไตรมาส 2/2556 (Second est.) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Mich. Consumer Sentiment Index)

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,325 และ 1,260 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,379 และ 1,398 ตามลำดับ

เครือข่ายชุมชนอบรมชาวบ้านทำแผนที่ GIS แก้ข้อขัดแย้งที่ดิน





นายประยงค์ ดอกลำไย ประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาที่ดินที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ภาคเหนือตอนบน เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานภาคเหนือตอนบน ได้จัดเวทีอบรมกองเลขาตำบลในการพัฒนาระบบข้อมูล GIS และการจัดทำแผนที่ 1 : 4000 ภาคเหนือตอนบน ครั้งที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมและสังเกตการณ์ 70 กว่าคน จากตัวแทนกองเลขา 24 ตำบลภาคเหนือตอนบน (และ จ.ตาก)
        ทั้งนี้ ขบวนชุมชนใน 24 ตำบลดังกล่าวได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก พอช. ตำบลละสองแสนบาท ในการพัฒนาระบบข้อมูล GIS การจัดทำข้อมูลแผนที่ทำมือ การสร้างความเข้าใจกับชุมชนในเรื่องที่ดินทำกินและเชื่อมโยงกับภาคีเครือข่ายในการจัดทำระบบข้อมูลครั้งนี้
        นายประยงค์ กล่าวว่า ในการสำรวจของกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2548 พบว่ามีที่ดินร้างที่ปล่อยทิ้งไว้ 30 ล้านไร่ หากนำมาให้ชาวบ้านทำการเกษตรจะสามารถเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจ 1,227,000 ล้านบาท
        ทั้งนี้ การอบรม GIS จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวบ้านที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกในที่ดินของเอกชนหรือภาครัฐได้ร่วมกันจัดทำแผนที่และกำหนดแปลงที่ดินที่อยู่อาศัยของประชาชนได้อย่างมีหลักฐานและมีหลักเกณฑ์ อันจะไปสู่การเจรจายุติข้อพิพาท และกำหนดข้อตกลงร่วมกันว่าใครจะอยู่ที่ตรงไหน ขอบเขตเท่าไหร่ ต้องไม่มีการบุกรุกเพิ่ม อันเป็นพันธะสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐ และหลายพื้นที่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี
        นายไพโรจน์ พนาไพรสกุล ตัวแทนกองเลขาตำบลแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ปัญหาที่หมู่บ้านตนเองประสบอย่างน้อยสามหมู่บ้านกำลังจะได้รับผลกระทบหากมีการประกาศพื้นที่เขตอุทยานเพิ่มเติม แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ประกาศ แต่มีการส่งเสียงมาบ้างแล้วว่าจะประกาศเพิ่มเติมและทางป่าไม้เริ่มทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าปวาเกอะญอ จำนวนหนึ่งพันกว่าครอบครัว การมาอบรมข้อมูล GIS จะช่วยทำให้พวกตนนำไปพัฒนาเรื่องการเก็บข้อมูลหมู่บ้าน เพื่อประสานกับทางป่าไม้ในการจะขออยู่ในพื้นที่อย่างถูกต้องและกำหนดขอบเขตที่อยู่อาศัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมั่นใจว่าชาวบ้านไม่มีการบุกรุกทำลายป่าแน่นอน

ธุรกิจก่อสร้างในเมียนมาร์.....ตื่นตัวรับปีมะเส็ง สร้างโอกาสขยายตลาดธุรกิจรับเหมาและวัสดุก่อสร้างไทย

 

ด้วยอานิสงส์ของการขยายตัวธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเมียนมาร์ปัจจุบัน ส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้างมากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างไทย เนื่องจากวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างบางประเภทของไทยมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น ปั้นจั่น โครงสร้างเหล็ก และเครื่องจักรอื่นๆที่ใช้สำหรับการก่อสร้าง เป็นต้น และ
ด้วยเหตุที่วัสดุก่อสร้างในเมียนมาร์ยังมีไม่เพียงพอ อาทิ ปูนซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งตลาดส่วนใหญ่ก็นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ของไทย เนื่องจากมั่นใจคุณภาพสินค้า อย่างไรก็ดี สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ยังจำเป็นต้องนำเข้าวัสดุก่อสร้างอยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ โครงการสำคัญที่จะเริ่มก่อสร้าง คือ โครงการเขื่อนท่าซาง งบลงทุน 240,000 ล้านบาท (นักลงทุนไทยและจีน) โครงการก่อสร้างโรงขุดเจาะและผลิตน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ งบลงทุน 3,000     ล้านบาท (นักลงทุนไทย) และโรงผลิตน้ำประปา ด้วยงบลงทุน 1,000 ล้านบาท (นักลงทุนไทย)
          นอกเหนือจากแผนลงทุนก่อสร้างของภาครัฐแล้ว ทางภาคเอกชนยังเตรียมลงทุนก่อสร้างทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ อาคาร และโรงแรมที่พัก เพื่อรองรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทวีเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุที่ในเมียนมาร์มีบรรยากาศการลงทุนดีขึ้น จากการผ่อนปรนทางการเมืองและมีนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนมากขึ้น บวกกับเมียนมาร์ก็ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า ภาคก่อสร้างของเมียนมาร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ GDP ภาคก่อสร้างเมียนมาร์ในปี 2556 ณ ราคาปัจจุบัน จะอยู่ที่ 2,400,000 – 2,485,000 ล้านจ๊าด ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 12.4 – 16.4 และคิดเป็นราวร้อยละ 5 ของ GDP ของเมียนมาร์ (GDP ภาคก่อสร้างปี 2555 เติบโต ราวร้อยละ 16 หรือคิดเป็นมูลค่า 2,135,000 ล้านจ๊าด) หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ไม่คาดคิดอื่นมากระทบและส่งผลต่อภาคก่อสร้าง
          จึงนับว่าตลาดวัสดุก่อสร้างในเมียนมาร์ เป็นดาวรุ่งในปัจจุบันและเอื้อหนุนต่อช่วยเอื้อหนุนต่อผู้จำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างของไทย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดก่อสร้างในอนาคต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า ในปี 2556 จะมีมูลค่าการส่งออกวัสดุก่อสร้างจากไทยไปเมียนมาร์อยู่ที่ 350 – 364 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10,500 – 10,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 14.5-19.0 จากที่ขยายตัวร้อยละ 32 ในปี 2555 ทั้งนี้การเติบโตสูงมากในปีก่อนหน้าเป็นผลมาจากการเร่งก่อสร้างหลายโครงการ อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้ภาคก่อสร้างในเมียนมาร์จะปรับตัวค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ตลาดวัสดุก่อสร้างในเมียนมาร์ ก็มีการแข่งขันสูง ทั้งจากนักลงทุนท้องถิ่นและต่างประเทศ ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุน จึงควรศึกษาและติดตามกฎระเบียบการลงทุนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ช่องทางเข้าไปติดต่อธุรกรรม รวมถึงเริ่มสร้างและรักษาพันธมิตรทางการค้าในท้องถิ่นไว้ เพื่อสนับสนุนข้อมูลการค้าและการลงทุน

ไทยพาณิชย์ศก.ไทยเสี่ยงดอกเบี้ยมีโอกาสลง



ไทยพาณิชย์,กนง.,ลดดอกเบี้ย,ธปท.

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) รายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 21 สิงหาคม 2556 โดย กนง. มองว่าดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงปรับตัว โดย GDP ที่ชะลอลงในไตรมาส 2 จากการบริโภคภาคเอกชนที่ลดลง ตามมาตรการรถคันแรกที่หมดลงและหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นนั้น ใกล้เคียงกับสิ่งที่ กนง. คาดไว้ในการประชุมครั้งก่อน สำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนั้น กนง.มองว่า อุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออกน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยให้สินเชื่อเติบโตได้ดีอยู่ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ กนง. ยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นกว่าครั้งก่อน โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ที่กนง. ประเมินว่าแม้จะชะลอตัวลงในไตรมาส 2 แต่เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจของยูโรโซนเริ่มสามารถฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
EIC ระบุว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่ชะลอลงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการบริโภคที่เร่งตัวในช่วงก่อนหน้าทำให้ครัวเรือนมีความระมัดระวังการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรก ทำให้โอกาสที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปียังคงมีอยู่
นอกจากการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวแล้ว การลงทุนภาคเอกชนที่อาจไม่ขยายตัวมากนักหลังจากมีการลงทุน เพื่อชดเชยความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมไปแล้ว รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ถูกเลื่อนออกไป อาจส่งผลให้แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายในประเทศลดลงในช่วงที่เหลือของปี การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีจึงยังคงมีความเป็นไปได้อยู่ เพื่อช่วยรักษาแรงส่งทางเศรษฐกิจ ในภาวะที่แรงกดดันทางด้านราคาอยู่ในระดับต่ำ

ชี้โครงการ2.2ล้านล้านบูมที่ดินใหม่ทั่วประเทศ

"ชัชชาติ" ชี้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้าน เปลี่ยนแลนด์สเคปประเทศไทยใน 7 ปีข้างหน้า บูมหน้าดินใหม่ทั่วประเทศ ด้านนายกสมาคมอสังหาฯ หวั่นผู้บริโภคผ่อนบ้านไม่ไหว หลังหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง จับตามเศรษฐกิจโลก การเมืองระอุ ฉุดอสังหาฯครึ่งปีหลัง

 สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยและบริษัทโฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด เปิดงาน "อภิมหกรรมบ้าน-คอนโด และสินเชื่อแห่งปี" ภายใต้คอนเซปต์ "ราคาแบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว ดอกเบี้ยแบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว" โดยในงานมีบ้านใหม่ บ้านมือสอง บ้านเอ็นพีแอล และสินเชื่อจากธนาคารต่างๆ จัดตั้งแต่วันที่ 22-25 ส.ค.ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นับเป็นงานแสดงสินค้าเวทีแรกในครึ่งปีหลัง หลังจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัยพ์ และกำลังซื้อเริ่มชะลอตัวมาในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "รถไฟฟ้า 10 สาย-โฮสปีดเทรน จุดเปลี่ยนคมนาคม และอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย" ว่า การลงทุนพัฒนาโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน 2.2 ล้านบาท ตามโรดแมพของรัฐบาล จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแลนด์สเคปของประเทศในอีก 7 ปีข้างหน้า ทำให้การคมนาคมกระจายออกสู่ภูมิภาค และส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมืองออกไปในต่างจังหวัดทั่วไปเทศ

"ที่ผ่านมา มีการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่น้อยมาก นับตั้งแต่ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งโครงต่างๆลงทุนที่เกิดขึ้น ทั้งการขยายถนน 4 เลน รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ล้วนเป็นโครงการที่เคยมีแผนที่จะทำอยู่แล้ว เพียงแต่นำกลับมาทำใหม่เท่านั้น เมื่อโครงการเกิดขึ้นแล้ว จะให้เกิดการเชื่อมโยงกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดการเจริญเติบโตตามมา"

นอกจากนี้ การพัฒนารถไฟความเร็วสูง ทำให้การเติบโตกระจายไปที่ต่างๆ ส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะทำให้มีการเปิดหน้าดินใหม่ตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ทำให้ราคาอสังหาฯไม่ปรับขึ้นแรงเหมือนในปัจจุบัน เพราะที่ดินในการพัฒนามีจำกัด ซึ่งโครงการดังกล่าว เปรียบเสมือนเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ขึ้นอยู่กับว่าแต่จะจังหวัดจะดึงมูลค่าเพิ่มจากเครื่องมือไปใช้ได้มากน้อยอย่างไร

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ยอมรับว่า เป็นห่วงกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ที่ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณของคนไม่มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น จนทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถอนุมัติวงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านให้ได้ ทั้ง ๆ ที่เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อยังคงเดิม

แต่อย่างไรก็ดี ประเมินภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังยังเติบโตดี แต่การเติบโตของผู้ประกอบการไม่ได้ดีทุกราย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายเล็กชะลอตัวลงบ้าง โดยเฉพาะในเดือนส.ค. ที่มีสถานการณ์การเมืองเข้ามากดดัน รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

"หวังว่าการที่ค่าบาทอ่อนค่าลง จะช่วยให้การส่งออกของไทยดีขึ้น ประกอบการหากมีการผ่าน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 2.2 ล้านล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายปีได้" นายพรนริศกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ถอดรหัส'เชียงใหม่'นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง

จากภาคตะวันออกที่ จ.ระยอง เรามาขึ้นเหนือกัน โดยจะมาวิเคราะห์ศักยภาพและการเติบโตของหัวเมืองหลักอย่าง "เชียงใหม่" ที่ได้วางวิสัยทัศน์ในอีก 4 ปีข้างหน้าว่าจะเป็น "นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง" และต้องยอมรับนะครับว่ากรุงเทพฯ เรามีอะไร (ไม่นับรถติดนะครับ) ที่เชียงใหม่ก็เห็นได้ครบ


เชียงใหม่ในวันนี้ นับได้ว่าเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.7 ล้านคน (อันดับ 5 ของประเทศ และยังไม่นับรวมผู้ที่มาทำงานในจังหวัด) เป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 2 ของประเทศ แต่เป็นอันดับ 1 ของภาค

ชาวเชียงใหม่มีรายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 79,971 บาทต่อคนต่อปี และในปี 2555 ผลิตภัณฑ์มวลรวมของเชียงใหม่ (GPP) ขยายตัว 3.8 % หรือประมาณ 143,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 2.8% หรือประมาณ 138,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงจาก 5 จังหวัดใกล้เคียง (เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง และตาก) นิยมมาจับจ่ายใช้สอยที่เชียงใหม่กันมาก

มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนมาเยือนจากทั่วโลกเฉลี่ยมากกว่า 5 ล้านคนต่อปี ติดอันดับต้นๆ ของโลก และมีกลุ่มต่างชาติที่พำนักอาศัยในเมืองไทย (expat) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นแหล่งพำนักระยะยาว (Long Stay) ของชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันมีอยู่กว่า 3,000 คน มีการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าปีละ 3-4 แสนบาทต่อคน

โดยล่าสุด เว็บไซต์ลีฟ แอนด์ อินเวสต์ โอเวอร์ซีส์ (Live and Invest Overseas) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านการอยู่อาศัยและลงทุนในต่างแดน เปิดเผยผลการจัดอันดับสถานที่ๆ เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ 21 แห่งในโลก (First Annual Retire Overseas Index) ระบุว่า เชียงใหม่ และหัวหิน ติดอันดับอยู่ใน 21 สถานที่ซึ่งได้รับการคัดเลือกด้วย โดยเชียงใหม่ถูกยกให้เป็นสถานที่ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งสามารถอยู่อาศัยโดยมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 1,250 เหรียญสหรัฐ หรือราว 37,500 บาท และยังเป็นสถานที่ที่มีประกันสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ไม่สูงมากอีกด้วย

เชียงใหม่ยังถูกยกระดับให้เป็นไมซ์ซิตี้ โดยมีศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา รวมถึงเป็นฮับทางสุขภาพจากการเป็นศูนย์รวมของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน มีสายการบินเปิดบินตรงจากเมืองต่างๆ ของจีน

นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคด้วยมหาวิทยาลัย 14 แห่ง ซึ่งรายได้ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในเชียงใหม่ มาจากภาคการศึกษา รวมถึงความเป็นเกตเวย์ของเชียงใหม่ที่เชื่อมโยงไปประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และการผลักดันโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ล้วนส่งเสริมให้กำลังซื้อมีแนวโน้มเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ปรากฏการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ กลุ่มทุนต่างๆ ได้ประกาศลงทุนสร้างศูนย์การค้า ชอปปิงเซ็นเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ และคอมมูนิตี้มอลล์ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันราว 15,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจดั่งเดิมก็เริ่มปรับตัวหันมารีโนเวตกิจการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

ด้วยศักยภาพของเมืองเชียงใหม่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเชียงใหม่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ขยายการลงทุนมาในพื้นที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก โดยเริ่มคึกคักมาตั้งแต่ปี 2554 และมีแนวโน้มเร่งตัวต่อเนื่องในช่วงปี 2555-2556 เห็นได้จากข้อมูลของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ระบุว่า ปัจจุบันเชียงใหม่มีที่อยู่อาศัยระหว่างการขายทั้งสิ้น 149 โครงการ ประมาณ 19,800 หน่วย

สำหรับเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือคอนโดมิเนียม มีทั้งสิ้น 44 โครงการ จำนวน 6,100 หน่วย ส่วนมากจะเปิดขายในช่วงปี 2554 และต่อเนื่องถึงปีนี้ และมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงตุลาคม 2555 - กุมภาพันธ์ 2566 จำนวนมากถึง 19 โครงการ ประมาณ 3,000 หน่วย มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท และสามารถขายได้แล้วประมาณ 72% โดยมีอัตราการดูดซับดีมากประมาณ 19.6% ต่อเดือน โดยแนวโน้มความต้องการที่พัก ทั้งแบบเช่า และซื้อ จะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาพรวมทางเศรษฐกิจของเชียงใหม่ที่ขยายตัวในทุกๆ ด้าน

ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับ "เชียงใหม่" ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ ตลอดจนได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 21 เมืองของโลก ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่ต้องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณครับ

เจาะผลสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  วิเคราะห์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ลงทะเบียนเข้าชมงาน "มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 28" ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยสมาคมอาคารชุดไทย  และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556  ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 


จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 10,000 คน  พบว่าร้อยละ 33 มีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัย อีกร้อยละ 30 เป็นเจ้าของไม่มีภาระผ่อนชำระ และร้อยละ 23 เป็นผู้เช่า ทั้งหมดนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอีกร้อยละ 14 เป็นเจ้าของมีภาระผ่อนชำระและอยู่บ้านพักสวัสดิการ สำหรับอาชีพของผู้ตอบแบบสอบถาม พบกว่าเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 55 เป็นกลุ่มพนักงานเอกชน อีกร้อยละ 15 เป็นข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ และร้อยละ 10 เป็นเจ้าของกิจการ  อีกร้อยละ 20 ประกอบอาชีพค้าขายและอาชีพอิสระ

ในด้านรายได้ พบว่าร้อยละ 16 มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ร้อยละ 25 มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนตั้งแต่ 30,001-50,000 บาท ร้อยละ 45 มีรายได้ต่อครอบครัวต่อเดือนเกิน 50,001-150,000 บาท กลุ่มรายได้ดังกล่าวมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย

สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด คือบ้านเดี่ยว ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 38 รองลงมาร้อยละ 37 เป็นห้องชุด และอีกร้อยละ 17 เป็นทาว์เฮาส์  ด้านพื้นที่ที่ต้องการซื้อ พบว่าร้อยละ 53  ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้าร้อยละ 26 ต้องการซื้อใกล้สถานที่ทำงาน ซึ่งหมายถึงโซนที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านในปัจจุบัน  หรือกำลังก่อสร้างหรือมีโครงการที่จะก่อสร้างในอนาคต ด้านทำเลที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตเขตที่ผู้บริโภคต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุดในกรุงเทพฯ เรียงตามลำดับ คือ บางนา ลาดพร้าว จตุจักร ห้วยขวาง  พระโขนง บางกะปิ พญาไท ธนบุรี สาทร และคลองเตย ในจังหวัดนนทบุรี อำเภอที่มีความต้องการซื้อสูงสุดคืออำเภอเมืองนนทบุรี บางบัวทอง ปากเกร็ด และบางใหญ่  ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการ  อำเภอที่มีความต้องการซื้อสูงสุด ได้แก่  อำเภอเมืองสมุทรปราการ บางพลี และพระประแดง  บางบ่อ  ด้านระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อ พบว่าร้อยละ 13 จะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาระหว่างการจัดงาน ร้อยละ 3 ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1-6 เดือน ร้อยละ 18 ต้องการซื้อภายใน 6-12 เดือน ร้อยละ 23 ต้องการซื้อภายใน 1-2 ปี  และร้อยละ 11 ต้องการซื้อในระยะเวลาเกิน 2 ปีขึ้นไป ร้อยละ 58 ต้องการซื้อเพื่อแยกครอบครัวหรือแต่งงาน  และเพื่อมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในขณะที่อีกร้อยละ 19 ของผู้บริโภคต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นทรัพย์สิน  และเพื่อลงทุนหรือให้เช่า

ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ร้อยละ 78 มีความต้องการใช้แหล่งเงินทุนจากสถานบันการเงิน โดยร้อยละ 73 มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1-3 ล้านบาท  ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 67

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นิวแลนด์...แดนที่ราบสูง "10 สุดยอด" ติดปีกเศรษฐกิจอีสาน

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ภาคอีสานได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านถนนหนทาง สะพานข้ามแม่น้ำโขงทั้ง 3 แห่ง (หนองคาย มุกดาหาร นครพนม) ทำให้การสัญจรและขนส่งสินค้าสะดวกรวดเร็วมากขึ้นทั้งในประเทศและเชื่อมสู่ ประเทศเพื่อนบ้าน 

ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ภาคค้าปลีก การค้าชายแดน รวมถึงด้านพลังงานทางเลือก ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และเอทานอล 

ภาค อีสานพลิกโฉมครั้งใหญ่ในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เจ้าของนโยบายแปรสนามรบเป็นสนามการค้า และนำพาประเทศสู่ยุคอุตสาหกรรมใหม่ 

ในยุคนั้น ราคาที่ดินทั่วประเทศพุ่งขึ้นหลายเท่าตัวรับกระแสเศรษฐกิจบูม อานิสงส์ที่ส่งตรงถึงภาคอีสานก็คือ การขยายถนนมิตรภาพเป็นถนนสี่เลน 

หลายคนกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนจากการขายที่ดิน 

ใน ยุคนั้น คนหนุ่มสาวในภาคอีสานเกือบ 80% ละทิ้งหมู่บ้าน หนีความแห้งแล้งกันดารออกมาแสวงโชคหางานทำในเมืองหลวง มุ่งหน้ามาเป็นสาวโรงงาน มาขับแท็กซี่ หรือมาเป็นกรรมกรก่อสร้าง 

พวกเขาคือปัจจัยการผลิตต้นทุนต่ำให้กับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมใหม่ 

ใน ยุคนี้ พวกเขาเหล่านั้นเริ่มทยอยกลับถิ่นฐานบ้านเกิด มีทั้งกลับไปเป็นแรงงานในหัวเมืองใหญ่ บางส่วนกลับไปสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเถ้าแก่ในกิจการร้านค้าต่าง ๆ หรือเป็นผู้รับเหมา บางส่วนกลับไปปลูกยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจดาวรุ่งของภาคอีสาน

ในยุคนี้ อีสานได้เปลี่ยนไปแล้ว ต่อไปนี้คือ 10 สุดยอดที่อีสานมี แต่ที่อื่นไม่มี

1) ภาคอีสาน...มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย และยังเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงสู่กลุ่มอาเซียน

ปัจจุบัน ภาคอีสานมีทั้งสิ้น 20 จังหวัด ได้แก่ 1.กาฬสินธุ์ 2.ขอนแก่น 3.ชัยภูมิ 4.นครพนม 5.นครราชสีมา 6.บึงกาฬ 7.บุรีรัมย์ 8.มหาสารคาม 9.มุกดาหาร 10.ยโสธร 11.ร้อยเอ็ด 12.เลย 13.สกลนคร 14.สุรินทร์ 15.ศรีสะเกษ 16.หนองคาย 17.หนองบัวลำภู 18.อุดรธานี 19.อุบลราชธานี 20.อำนาจเจริญ 

2) ภาคอีสาน...มีจำนวนประชากรมากที่สุดของประเทศ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานจำนวนประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2556 ว่า ภาคอีสานมีจำนวนประชากรมากที่สุด 19,093,000 คน รองลงมาคือ ภาคกลาง (ไม่รวมกรุงเทพฯ) 17,511,000 คน ภาคเหนือ 11,588,000 คน ภาคใต้ 8,640,000 คน และกรุงเทพฯ 7,791,000 คน 

3) ภาคอีสาน...เป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นดีที่สุดของประเทศและของโลก

4) ภาคอีสาน...เป็นแหล่งปลูกมันสำปะหลังส่งออกมากที่สุดของประเทศ และยังเป็นแหล่งปลูกอ้อยป้อนอุตสาหกรรมน้ำตาล และผลิตเอทานอล

5) ภาคอีสาน...เป็นแหล่งปลูกยางพารา ปัจจุบันสามารถเปิดกรีดน้ำยางได้แล้ว กลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนอีสานในเวลานี้

6) ภาคอีสาน...เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ยุคอารยธรรมขอม เป็นจุดเด่นที่สำคัญของการท่องเที่ยวอีสาน

7) ภาคอีสาน...เป็นภาคที่มีกำลังแรงงานมากที่สุดทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

8) ภาคอีสาน...มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากที่สุด เป็นฐานเสียงที่เป็นตัวชี้ขาดในการจัดตั้งรัฐบาล

9) ภาคอีสาน...เป็นภาคที่มีเขยฝรั่งมากที่สุดของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงเป็นกลุ่มลูกค้าที่ห้างสรรพสินค้าในหัวเมืองใหญ่ทั้งโคราช ขอนแก่น อุดรธานี ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง 

10) ภาคอีสาน...เป็นบ้านหลังที่สองของบรรดาเศรษฐีกรุงเทพฯ ที่หนีภัยน้ำท่วมและสะสมทรัพย์สิน แห่ไปซื้อที่ดินสร้างบ้าน หรือทำรีสอร์ตอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในโซนของอำเภอปากช่อง เขาใหญ่ วังน้ำเขียว สีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 

ล่าสุดรัฐบาลนางสาวยิ่ง ลักษณ์เร่งแจ้งเกิดโครงการรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน เส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย ก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคอีสานคู่ขนานไปกับกระแสการ เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นี้ 

นี่คือความได้เปรียบที่ทำให้เศรษฐกิจอีสานโตก้าวกระโดด

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สยามสแควร์ครองแชมป์ที่ดินแพงสุดในไทย



นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า ในพื้นที่บริเวณติดถนนพระรามที่ 1 รอบรถไฟฟ้าสยามสแควร์ ชิดลมและเพลินจิต ราคาที่ดินตามราคาตลาดที่พึงวิเคราะห์ได้ตามศักยภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินสูงสุด เป็นเงินตารางวาละ 1.5 ล้านบาท หรือ 600 ล้านบาทต่อไร่ และแนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาที่ดินใจกลางเมือง เช่น สยามสแควร์ ชิดลมและเพลิตจิต ยังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่คงไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงตารางวาละ 2 ล้านบาทในปี 56 นี้ แต่คงเป็นเพียงราว 1.7 ล้านบาท ณ สิ้นปีนี้ และคาดว่ายังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อมีโครงข่ายรถไฟฟ้าออกนอกเมือง เพราะยิ่งทำให้ประชาชนสามารถเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้น"นายโสภณ ระบุ

ทั้งนี้ จากปี 37 ราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวอยู่ที่ประมาณตารางวาละประมาณ 400,000 บาท และเพิ่มเป็น 430,000 บาทในปี 39 แต่พอถึงปี 40-41 ราคาที่ดินตกต่ำลงเหลือเพียงตารางวาละ 380,000 บาท หรือลดลง 5% จากนั้นราคากลับมาที่จุดสูงสุดอีกครั้งในปี 45 หรืออีก 6 ปีต่อมา อย่างไรก็ตามปี 55 นี้ มีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3 เท่าในระยะเวลาประมาณเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา คาดว่าในเดือน ธ.ค.56 ราคาน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา

อย่างไรก็ตาม คงต้องประเมินในรายละเอียดในเวลาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการที่ราคาที่ดินที่สยามสแควร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เพราะว่า มีรถไฟฟ้าบีทีเอส 2 สายมาบรรจบกัน ทำให้ศักยภาพของที่ดินดี การเดินทางสะดวก และโดยที่เป็นแหล่งค้าปลีกที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพมหานครหรือประเทศไทยโดยรวม จึงยิ่งทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และยิ่งรถไฟฟ้าขยายตัวออกไปนอกเมืองเท่าไหร่ ก็เท่ากับจะสามารถนำคนเข้ามายังใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และจะทำให้มูลค่าที่ดินใจกลางเมืองยิ่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ 

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ"เออีซี" แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน

นายวิวัฒน์ชัย จิวาศักดิ์อภิมาศ รองประธานและเลขาธิการหอการค้าจังหวัดหนองคาย และผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า ราคาที่ดินของจังหวัดหนองคายตอนนี้ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูงมาก ราคาที่ซื้อขายกันจริงๆ ส่วนใหญ่จะสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้มาก และที่สำคัญมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรกัน ส่งผลให้ราคาซื้อขายจริงสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และที่ดินริมถนนสายที่ตัดจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวนั้น ขณะนี้บูมกว่าทุกจุด อาคารพาณิชย์จากเดิมที่มีการซื้อขายกันที่ห้องละ 1.9-2 ล้านบาท สูงขึ้นเป็น 5-7 ล้านบาท ส่วนราคาที่ดินที่ซื้อ-ขายนั้นก็สูงกว่าราคาประเมินหลายเท่าตัว ล่าสุดที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินล่าสุดที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อไร่

ทางด้าน นายวีระชัยโชค มงคลภูมิรัตน์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายขณะนี้ถือว่าสูงมากจนเต็มเพดาน เฉพาะค่าเช่าก็ยังสูงเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีการเช่าที่ 30 ไร่ 30 ปี ค่าเช่าสูงถึง 60 ล้านบาท ส่วนราคาขายที่ดินในตัวเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจหลัก พื้นที่กว่า 4 ไร่ ขายกันที่กว่า 100 ล้าน ที่ริมแม่น้ำโขง 3 ไร่ ขาย 75 ล้านบาท โดยมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น ซีพี แสนศิริ รวมไปถึงกลุ่มทุนที่เกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัย ได้เข้ามาหาที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 คาดกันว่าจะมีนักลงทุนจากต่างชาติ เข้ามาในจังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก มีการขออนุญาตสร้างรีสอร์ต โรงแรมขนาดใหญ่ 7 ชั้นริมถนนหนองคาย-โพนพิสัย รวมไปถึงโฮมโปรที่ได้ลงมือก่อสร้างไปแล้ว การลงทุนโครงการใหญ่ๆ ข้างต้นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ปรับราคาขึ้นตามไปด้วย ทำให้ขณะนี้คนหนองคายระดับรากหญ้าจนถึงระดับกลาง ยากที่จะมีที่ดิน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านและอาคารพาณิชย์ในเขตเมืองเป็นของตัวเอง

การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเริ่มคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2555 จนถึงขณะนี้การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายคึกคักมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับปี 2554 แล้ว ราคาที่ดินและอาคารพาณิชย์ปรับขึ้นจากเดิม 2-3 เท่าตัว จากกระแสข่าวที่มีความเป็นไปได้สูงที่โครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการจะเข้ามา

ดำเนินการในเร็วๆ นี้ ประกอบกับจังหวัดหนองคายเป็นหน้าด่านในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมีการเปิดเออีซีในปี 2558 จึงทำให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ มีกลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินเป็นแปลงใหญ่ตั้งแต่ 50-300 ไร่ เพื่อขายให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาตั้ง ยิ่งส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายมีราคาสูงเกินจริงขึ้นไปอีก ที่ดินที่มีการซื้อขายกันขณะนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เจ้าของขายเอง แต่เป็นมือที่ 3-4 แล้ว

สำหรับราคาประเมินที่ดินที่สูงที่สุดนั้นจะอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย โดยเฉพาะที่ดินที่ติดกับถนนประจักษ์ที่เป็นถนนสายหลักภายในเขตเทศบาลราคาประเมินสูงมาก อยู่ระหว่าง 8-10 ล้านบาทต่อไร่ แต่การซื้อขายกันจริงๆ แล้วสูงกว่าราคาประเมินมาก โดยเฉพาะแปลงสวยๆ นั้นราคาซื้อขายกันจริงๆ จะสูงเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนที่ดินริมโขงภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคายนั้น ราคาประเมินอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านบาท แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงกว่านี้ 

จุดที่มีการซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินอีกจุดหนึ่ง คือที่ดินริมถนนสายจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งขณะนี้ถือเป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์มากกว่า 100 ห้อง ก็สามารถขายได้หมดภายในเวลาไม่นาน ราคาประเมินที่ดินริมถนนเส้นนี้อยู่ที่ประมาณ 1.8-2 ล้านบาทต่อไร่ แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงถึง 8-9 ล้านบาทต่อไร่เลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟันธง!! เปิดโพย 13 หัวเมืองต่างจังหวัด...อสังหาฯดาวเด่น

เปิดโพย 13 จังหวัดโตแน่
ทั้ง นี้ หัวเมืองที่คาดว่าจะมีศักยภาพเติบโตมี 13 จังหวัด แบ่งเป็น 2 เวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นตลาดอสังหาฯ ที่เติบโตสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจมี 6 จังหวัด คือชลบุรี ภูเก็ต ขอนแก่น ระยอง อุบลราชธานี 

และลำปาง กับเวอร์ชั่นอสังหาฯ ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตอันใกล้ 7 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม หนองคาย บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว กาญจนบุรี และพิษณุโลก


อสังหาฯ หัวเมืองใหญ่

แนว โน้มดังกล่าว เป็นส่วนผสมมาจากปัจจัยหนุนหลายด้านรวมกัน เริ่มจากนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโตขึ้น (Urbanization) โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ เมืองท่องเที่ยว ทั้งภูเก็ต หัวหิน พัทยา กับเมืองธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งมีโฟกัสอยู่ที่ระยอง ชลบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา 

นอกจากนี้ กระแสการรวมกลุ่มเปิดการค้าเสรี โดยเฉพาะการนับถอยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่นำไปสู่การลงทุนพัฒนาเส้นทางคมนาคมระหว่างภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนและจังหวัดตามเส้นทาง GMS อาทิ หนองคาย สระแก้ว และพิษณุโลก เป็นต้น

ประชากรเขตเมือง ตจว.โตจี๊ด

"ดร.ปิย ศักดิ์" แจกแจงว่า เหตุที่กล้าฟันธงมี 13 จังหวัดแนวโน้มอนาคตธุรกิจอสังหาฯ มาจาก 4 ปัจจัยหลักด้วยกัน คือภูมิภาคนิยม กระแสสังคมเมือง นโยบายเศรษฐกิจมหภาคของรัฐบาล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเริ่มจากปัจจัย "กระแสสังคมเมือง-Urbanization" ภาพที่เริ่มเป็นรูปธรรมชัดเจนเป็นลำดับ นับตั้งแต่นโยบายค่าแรง 300 บาท ได้เห็นภาพแรงงานคืนถิ่น ได้เห็นภาพคนชนบทเข้ามาพักอาศัย และทำงานในเขตเมือง เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรมมากขึ้นตัวชี้วัดที่ ชัดเจนคือ "รายได้ประชากร" ประเมินจากปี 2503 มีประชากร 5 ล้านคน อาศัยในเขตเมืองโดยประมาณ ปัจจุบันปี 2556 พบว่าเพิ่มจำนวนเป็น 23 ล้านคน 

ประเมิน ว่าภายในปี 2563 ประชากรในเขตเมืองจะทวีจำนวนเป็น 29 ล้านคน นั่นหมายถึงมากกว่า 50% ของทั่วประเทศ ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยมากทวีคูณในเวลาเดียวกัน ประเด็นรายได้ต่อครัวเรือนในเขตภูมิภาคช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็เติบโตเร็วกว่าเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือมีอัตราเติบโต 120-140% ขณะที่เขตกรุงเทพฯโตราว ๆ 60% มีผลบวกทางตรง เพราะรายได้มากขึ้น ความต้องการปัจจัย 4 ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย

GMS ปลุกจังหวัดหน้าด่านโต

ปัจจัย "นโยบายเศรษฐกิจมหภาค" พบว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 2-3 ปี จนถึง 15 ปีหน้า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยครั้งใหญ่ เป็นผลลัพธ์จากนโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายจำนำข้าว ที่สนับสนุนรายได้เกษตรกร เท่ากับเพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มรากหญ้า ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

ปัจจัย "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" โครงการแห่งความหวังในต่างจังหวัด หนีไม่พ้นรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน ในอนาคตเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะทำให้เชื่อมโยงการเดินทางจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่งได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ผลพลอยได้อัตโนมัติ คือทำให้มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวรถไฟความเร็วสูง เพราะเคลื่อนที่เข้ากรุงเทพฯได้ง่ายและเร็วขึ้นนั่นเอง

และสุดท้าย ปัจจัย "ภูมิภาคนิยม" เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าไทยร่วมกับเพื่อนบ้าน 10 ประเทศเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่การเปิดเสรีเป็นเออีซีตลาดเดียว โดยเฉพาะความร่วมมืออนุภาคลุ่มน้ำโขง GMS มี 3 เส้นทางหลัก ๆ ที่เรียกว่า "ระเบียงเศรษฐกิจ" คือ 1.แนวเหนือ-ใต้ เชื่อมคุนหมิง ดานัง ท่าขี้เหล็ก แม่สาย กรุงเทพฯ 2.แนวตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมเมืองท่าดานัง ผ่านสะหวันนะเขต เข้าไทยที่ จ.มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ลากยาวผ่านอ่าวรายาวดี เมียนมาร์ 

3.แนวใต้ เชื่อมเมืองโฮจิมินห์ ผ่านกรุงเทพฯ ทะลุไปถึงเมืองทวาย ซึ่งเป็นแนวเส้นทางที่รัฐบาลเมียนมาร์ออกแรงผลักดันอย่างมาก เพราะทวายจะได้กลายเป็นแลนด์มาร์กในการขนส่งสินค้าจากเวียดนามเข้าสู่ โซนมหาสมุทรอินเดีย

ประเทศไทยในฐานะอยู่จุดศูนย์กลาง GMS จังหวัดหน้าด่านหรือจังหวัดศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย (ด่านชายแดนเชียงแสน เชียงของ) พิษณุโลก มุกดาหาร หาดใหญ่ กาญจนบุรี ตาก ได้รับอานิสงส์ทั้งหมด

ตัวชี้วัด คือจังหวัดชายแดนมีตัวเลขการเติบโตการค้าแทบทุกด่าน โดยเฉพาะภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นหนองคาย มุกดาหาร ปี 2555 โตถึง 20-30% ทั้งในแง่มูลค่าการค้าชายแดน และการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่